Saturday 18 September 2010

Wednesday 15 September 2010

วันที่ 15 กันยายน

อิสยาห์ 19:1-21:17

1ครุวาทเกี่ยวกับอียิปต์
  ดูเถิด  พระเจ้าทรงเมฆอันรวดเร็ว
  และเสด็จมายังอียิปต์
  ต่อพระพักตร์พระองค์  รูปเคารพแห่งอียิปต์จะสั่นสะเทือน
  และใจของคนอียิปต์จะละลายไปภายในตัวเขา
 2และเราจะกวนให้คนอียิปต์ต่อสู้กับคนอียิปต์
  และเขาจะสู้รบกัน  ทุกคนรบพี่น้อง
ของตน
  และทุกคนรบเพื่อนบ้านของตน
  เมืองรบกับเมือง  ราชอาณาจักรรบกับราชอาณาจักร
 3และคนอียิปต์ก็จะจนใจ
  และเราจะกระทำให้แผนงานของเขายุ่งเหยิง
  และเขาจะปรึกษารูปเคารพและพวกหมอดู
  และคนทรง  และพ่อมดแม่มด
 4และเราจะมอบคนอียิปต์ไว้ในมือ
  ของนายที่แข็งกระด้าง
  และพระราชาดุร้ายคนหนึ่งจะปกครองเหนือเขา
  องค์พระผู้เป็นเจ้า  พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
 5และน้ำจะแห้งไปจากทะเล(ดูหมายเหตุที่  บท  18   ข้อ  2)  
  และแม่น้ำแห้งผาก
 6และคลองของมันจะเน่าเหม็น
  และแควของแม่น้ำไนล์แห่งอียิปต์   จะน้อยลงและแห้งไป
  ต้นอ้อและกอปรือจะเหี่ยวแห้ง
 7กอแขมที่แม่น้ำไนล์
  ที่ริมฝั่งแม่น้ำ
  และทั้งสิ้นที่หว่านลงข้างแม่น้ำนั้น
จะแห้งไป
  จะถูกไล่ไปเสียและไม่มีอีก
 8ชาวประมงจะร้องทุกข์
  คือบรรดาผู้ที่ตกเบ็ดในแม่น้ำไนล์
จะไว้ทุกข์
  และผู้ที่ทอดแหลงในน้ำ
  จะอ่อนระทวย
 9คนงานที่หวีป่านจะหมดหวัง
  ทั้งคนที่ทอฝ้ายขาวด้วย
 10บรรดาผู้ที่เป็นหลัก(หรือ   บรรดาคนทอผ้า) ของแผ่นดินต้องถูกบีบคั้น
  และบรรดาผู้ที่ทำงานรับจ้างจะเศร้าใจ
 11พวกเจ้านายแห่งโศอันโง่บัดซบทีเดียว
  ที่ปรึกษาที่ฉลาดของฟาโรห์ให้คำปรึกษาอย่างโง่เขลา
  พวกเจ้าจะพูดกับฟาโรห์ได้อย่างไรว่า
  “ข้าบาทเป็นบุตรของนักปราชญ์
  เป็นเชื้อสายของกษัตริย์โบราณ”
 12นักปราชญ์ของท่านอยู่ที่ไหน
  ให้เขาบอกท่านและให้เขาทำให้แจ้งซิ
  ว่าพระเจ้าจอมโยธามีพระประสงค์อะไรกับอียิปต์
 13เจ้านายแห่งโศอันกลายเป็นคนโง่
  และเจ้านายแห่งเมมฟิสถูกหลอกลวงแล้ว
  บรรดาผู้ที่เป็นศิลามุมเอกของเผ่าของอียิปต์
  ได้นำอียิปต์ให้หลงไป
 14พระเจ้าทรงปนดวงจิตแห่งความยุ่งเหยิง
  ไว้ในอียิปต์
  และเขาทั้งหลายได้กระทำให้อียิปต์แชเชือน ในการกระทำทั้งสิ้นของมัน
  ดั่งคนเมาโซเซอยู่บนสิ่งที่เขาอาเจียน
 15ไม่มีอะไรที่จะกระทำได้เพื่อช่วยอียิปต์
  ซึ่งหัวก็ดี   หางก็ด     หรือใบตาลก็ดี
ต้นอ้อเล็กก็ดี  อาจจะทำได้
 16วันนั้น  คนอียิปต์จะเป็นเหมือนผู้หญิง   สั่นสะเทือนและกลัวต่อพระหัตถ์ ซึ่งพระเจ้าจอมโยธาทรงกวัดแกว่งเหนือเขา 17และแผ่นดินยูดาห์จะเป็นที่หวาดกลัวแก่คนอียิปต์   เมื่อกล่าวชื่อให้คนหนึ่งคนใดเขาก็กลัว   เพราะพระประสงค์ของพระเจ้าจอมโยธา   ซึ่งทรงประสงค์ต่อเขาทั้งหลาย
 18ในวันนั้น   จะมีห้าหัวเมืองในแผ่นดินอียิปต์ซึ่งพูดภาษาของคานาอัน   และสาบานต่อพระเจ้าจอมโยธา   เมืองหนึ่งเขาจะเรียกว่า   เมืองอาทิตย์
 19ในวันนั้น   จะมีแท่นบูชาแท่นหนึ่งแด่พระเจ้าในท่ามกลางแผ่นดินอียิปต์   และมีเสาศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้าที่พรมแดน 20จะเป็นหมายสำคัญและเป็นพยานในแผ่นดินอียิปต์ถึง พระเจ้าจอมโยธา   เมื่อเขาทั้งหลายร้องทูลต่อพระเจ้าเหตุด้วยผู้บีบบังคับเขา   พระองค์จะทรงส่งผู้ช่วยและผู้ป้องกันผู้หนึ่งมาให้เขา ผู้จะช่วยกู้เขาไว้ 21และพระเจ้าจะสำแดงพระองค์ให้เป็นที่รู้จักแก่คนอียิปต์   และคนอียิปต์จะรู้จักพระเจ้าในวันนั้นและนมัสการด้วยถวายเครื่องสักการบูชาและเครื่องถวาย   และเขาทั้งหลายจะบนบานและแก้บนต่อพระเจ้า 22และพระเจ้าจะโจมตีอียิปต์  ทรงโจมตีพลางทรงรักษาพลาง   และเขาทั้งหลายจะหันกลับมาหาพระเจ้า   และพระองค์จะทรงฟังคำวิงวอนของเขาและทรงรักษาเขา
 23ในวันนั้น  จะมีทางหลวงจากอียิปต์ถึงอัสซีเรีย   และคนอัสซีเรียจะเข้ามายังอียิปต์  และคนอียิปต์ยังอัสซีเรีย
 24ในวันนั้น  อิสราเอลจะเป็นที่สามกับอียิปต์และกับอัสซีเรีย   เป็นพรท่ามกลางแผ่นดินโลก 25เป็นผู้ที่พระเจ้าจอมโยธาทรงอำนวยพระพรว่า   “อียิปต์ชนชาติของเราจงได้รับพร   และอัสซีเรียผลงานแห่งมือของ เราและอิสราเอลมรดกของเรา”


บทที่ 20

1ในปีที่ผู้บังคับบัญชาใหญ่   ผู้ซึ่งซาร์กอนพระราชาแห่งอัสซีเรียทรงใช้มานั้น   ได้มาถึงอัชโดดและได้ต่อสู้ยึดเมืองนั้นได้ 2ในครั้งนั้นพระเจ้าตรัสโดยอิสยาห์บุตรอามอสว่า   “จงไป  แก้ผ้ากระสอบออกจากบั้นเอวของเจ้า   และเอารองเท้าออกจากเท้าของเจ้า”   และท่านก็กระทำตาม   เดินเปลือยกายและเท้าเปล่า 3และพระเจ้าตรัสว่า   “อิสยาห์ผู้รับใช้ของเราเดินเปลือยกาย   และเท้าเปล่าสามปี   เป็นหมายสำคัญและเป็นลางแก่อียิปต์และแก่เอธิโอเปียฉันใด 4พระราชาแห่งอัสซีเรีย จะนำคนอียิปต์ไปเป็นเชลยและจะกวาดคนเอธิโอเปียไป   ทั้งคนหนุ่มสาวและคนแก่   เปลือยกายและเท้าเปล่า   เปิดก้น   เป็นที่ละอายแก่อียิปต์ 5แล้วเขาทั้งหลายจะท้อถอยและอับอายด้วยเหตุเอธิโอเปียความหวังของเขา   และอียิปต์ความโอ้อวดของเขา 6และชาวแผ่นดินชายทะเลนี้จะกล่าวในวันนั้นว่า   'ดูเถิด   นี่แหละผู้ซึ่งเราหวังใจ   และผู้ซึ่งเราหนีไปหาความช่วยกู้ให้พ้นจาก พระราชาอัสซีเรีย   และเรา  เราเล่าจะหนีให้พ้นได้อย่างไร' ”


บทที่ 21

1ครุวาทเกี่ยวกับถิ่นทุรกันดารของทะเล
  เหมือนลมบ้าหมูในเนเกบพัดเกลี้ยงไป
  มันมาจากถิ่นทุรกันดาร
  จากแผ่นดินอันน่าคร้ามกลัว
 2เขาบอกนิมิตที่เหี้ยมหาญแก่ข้าพเจ้า
  ว่าผู้ปล้นเข้าปล้น
  ผู้ทำลายเข้าทำลาย
  เอลามเอ๋ย  จงขึ้นไป
  มีเดียเอ๋ย  จงเข้าล้อม
  ซึ่งมันให้เกิดการถอนหายใจทั้งสิ้น
  เราได้กระทำให้สิ้นไปแล้ว
 3เพราะฉะนั้น  บั้นเอวของข้าพเจ้าจึงเต็มด้วยความแสนระทม
  ความเจ็บปวดฉวยข้าพเจ้าไว้
  อย่างความเจ็บปวดที่หญิงกำลังคลอดบุตร
  ข้าพเจ้าจนใจเพราะสิ่งที่ได้ยิน
  ข้าพเจ้าท้อถอยเพราะสิ่งที่ได้เห็น
 4จิตใจของข้าพเจ้าฟุ้งซ่านไป   ความหวาดเสียวกระทำให้ข้าพเจ้าครั่นคร้าม
  แสงโพล้เพล้ซึ่งข้าพเจ้าหวัง
  กลับทำให้ข้าพเจ้าสั่นสะเทือน
 5เขาเตรียมสำรับไว้
  เขาปูพรม
  เขากิน  เขาดื่ม
  เจ้านายทั้งหลายเอ๋ย  จงลุกขึ้น
  ชโลมโล่ไว้ด้วยน้ำมัน
 6เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า
  “จงไป  ตั้งยาม
  ให้เขาไปร้องประกาศสิ่งที่เขาเห็น
 7เมื่อเขาเห็นคนขี่ม้า  คือพลม้าเป็นคู่ๆ
  คนขี่ลา  คนขี่อูฐ
  ให้เขาฟังอย่างพินิจพิเคราะห์
  อย่างพินิจพิเคราะห์ทีเดียว”
 8แล้วผู้เห็นได้ร้องว่า
  “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ข้าพระองค์ยืนอยู่บนหอคอย
  ตลอดไปในกลางวัน
  ข้าพระองค์ประจำอยู่ที่ตำแหน่งของข้าพระองค์
  ตลอดหลายคืน
 9และ  ดูเถิด  มีคนขี่มา
  คือพลม้าเป็นคู่ๆ”
  และเขาตอบว่า
  “บาบิโลนล่มแล้ว  ล่มแล้ว
  บรรดารูปเคารพทั้งสิ้นแห่งพระของเขา
  พระองค์ทรงทำลายลงถึงพื้นดิน”

 10ท่านผู้ถูกนวดและผู้ถูกฝัดของข้าเอ๋ย
  ข้าได้ยินอะไรจากพระเจ้าจอมโยธา
  พระเจ้าแห่งอิสราเอล  ข้าพเจ้าก็ร้องประกาศแก่ท่านอย่างนั้น
 11ครุวาทเกี่ยวกับดูมาห์
  มีคนหนึ่งเรียกข้าพเจ้าจากเสอีร์
  ว่า  “คนยามเอ๋ย  ดึกเท่าไรแล้ว
  คนยามเอ๋ย  ดึกเท่าไหร่แล้ว”
 12คนยามตอบว่า
  “เช้ามาถึง  กลางคืนมาด้วย
  ถ้าจะถาม  ก็ถามเถิด
  จงกลับมาอีก”
 13ครุวาทเกี่ยวกับอาระเบีย
  โอ  กระบวนพ่อค้าของคนเดดานเอ๋ย
  เจ้าจะพักอยู่ในดงทึบในอาระเบีย
 14ชาวแผ่นดินเทมาเอ๋ย
  จงเอาน้ำมาให้คนกระหาย
  เอาขนมปังมาต้อนรับคนลี้ภัย
 15เพราะเขาได้หนีจากกระบี่
  จากกระบี่ที่ชักออก
  จากธนูที่โก่งอยู่
  และจากสงครามที่กระชั้นเข้ามา
 16เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าดังนี้ว่า   “ศักดิ์ศรีทั้งสิ้นของเคดาร์จะถึงที่สุดภายใน ปีเดียวตามปีจ้างลูกจ้าง(ดูหมายเหตุที่   บท  16  ข้อ  14)  17และนักธนูที่เหลืออยู่ของทแกล้วทหารแห่งชาว เคดาร์จะเหลือน้อย   เพราะพระเยโฮวาห์   พระเจ้าของอิสราเอล   ได้ตรัสแล้ว”




กาลาเทีย  2:1-16



1สิบสี่ปีต่อมา   ข้าพเจ้ากับบารนาบัสได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีก   และพาทิตัสไปด้วย 2ข้าพเจ้าขึ้นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า   และข้าพเจ้าได้เล่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ชนต่างชาติให้เขาฟัง  (แต่ได้เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นส่วนตัว)   เกรงว่าข้าพเจ้าอาจจะวิ่งแข่งกันหรือวิ่งแล้วโดยไร้ประโยชน์ 3แต่ถึงแม้ทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า   จะเป็นคนกรีกเขาก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต 4ตามคำแนะนำของพี่น้องจอมปลอม   ที่ได้ลอบเข้ามา   เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีเพราะพระเยซูคริสต์   พวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส 5แต่เราไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้กับเขาแม้สักขณะเดียว   เพื่อให้ความจริงของข่าวประเสริฐนั้นดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป 6และจากพวกเหล่านั้นที่เขาถือว่าเป็นคนสำคัญ   (เขาจะเคยเป็นอะไรมาก่อนก็ตาม   ก็ไม่สำคัญอะไรสำหรับข้าพเจ้าเลย   พระเจ้ามิได้ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใด)   คนเหล่านั้นซึ่งเขาถือว่าเป็นคนสำคัญ   ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่ข้าพเจ้าเลย 7แต่ตรงกันข้ามเมื่อเขาเห็นว่า   ข้าพเจ้าได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนเหล่านั้นที่ไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต   เช่นเดียวกับเปโตรได้รับมอบให้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต 8(เพราะว่าพระองค์ผู้ได้ทรงดลใจเปโตรให้เป็นทูต   ไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต   ก็ได้ทรงดลใจข้าพเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติเหมือนกัน) 9เมื่อยากอบกับเคฟาสและยอห์นผู้ที่เขานับถือว่าเป็นหลัก   ได้เห็นพระคุณซึ่งประทานแก่ข้าพเจ้าแล้ว   ก็ได้จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส   แสดงว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน   เพื่อให้เราไปหาคนต่างชาติ   และท่านเหล่านั้นจะไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต 10ท่านเหล่านั้นขอแต่เพียงไม่ให้เราลืมนึกถึงคนจน   ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะกระทำ 11แต่เมื่อเคฟาสมาถึงอันทิโอกแล้ว   ข้าพเจ้าก็ได้คัดค้านท่านซึ่งๆหน้า   เพราะว่าท่านทำผิดแน่ 12ด้วยว่าก่อนที่คนของยากอบมาถึงนั้น   ท่านได้กินอยู่ด้วยกันกับคนต่างชาติ   แต่พอคนพวกนั้นมาถึง   ท่านก็ปลีกตัวออกไปอยู่เสียต่างหาก   เพราะกลัวพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต 13และพวกยิวคนอื่นๆก็ได้แสร้งทำตามท่าน   แม้แต่บารนาบัสก็หลงแสร้งทำตามคนเหล่านั้นไปด้วย 14แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่า   เขาไม่ได้ประพฤติตรงตามความจริงของข่าวประเสริฐนั้น   ข้าพเจ้าจึงว่าแก่เคฟาสต่อหน้าคนทั้งปวงว่า   “ถ้าท่านเองซึ่งเป็นพวกยิว   ประพฤติตามอย่างคนต่างชาติ   ไม่ใช่ตามอย่างพวกยิว   เหตุไฉนท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตามอย่างพวกยิวเล่า” 15เราผู้มีสัญชาติเป็นยิว   ไม่ใช่คนต่างชาติที่มีบาป 16ก็ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมได้   โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ   แต่โดยศรัทธาในพระเยซูคริสต์เท่านั้น   ถึงเราเองก็มีใจศรัทธาในพระเยซูคริสต์   เพื่อจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยศรัทธาในพระคริสต์   ไม่ใช่โดยการประพฤติตามธรรมบัญญัติ   เพราะว่าโดยการประพฤติตามธรรมบัญญัตินั้น   ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนชอบธรรมได้เลย

สดดี 59:1-17


1ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์ จากศัตรูของข้าพระองค์   
 ขอทรงช่วยป้องกันข้าพระองค์ให้พ้นจากบรรดาผู้ ที่ลุกขึ้นต่อสู้ข้าพระองค์   
 2ขอทรงช่วยกู้ข้าพระองค์จากผู้ที่ทำความชั่วร้าย   
 และขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดจากคนกระหายเลือด   
 3เพราะนี่แน่ะ  เขาซุ่มคอยเอาชีวิตข้าพระองค์   
 คนดุร้ายร่วมหัวกันต่อสู้ข้าพระองค์   
 ข้าแต่พระเจ้า  มิใช่การละเมิดหรือบาปของข้าพระองค์เอง   
 4เขาวิ่งไปเตรียมพร้อม  มิใช่ความผิดของข้าพระองค์   
 ขอทรงกระปรี้กระเปร่า   ขอทรงมาช่วยข้าพระองค์และทอดพระเนตร   
 5ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา  พระองค์ทรง เป็นพระเจ้าของอิสราเอล   
 ขอทรงตื่นขึ้นลงโทษบรรดาประชาชาติ   
 ขออย่าทรงเมตตาผู้ที่ทรยศคิดร้าย   แม้สักคนเดียว   9:1   
 6เขากลับมาทุกเย็น   
 หอนอย่างสุนัข   
 และตระเวนไปทั่วนคร   
 7เขาอยู่ที่นั่นอย่างไรล่ะ  ปากของเขายังพ่นอยู่   
 และมีดาบที่ริมฝีปากของมัน   
 เพราะมันคิดว่า  “ใครจะฟังเรา”   
 8ข้าแต่พระเจ้า  แต่พระองค์ทรงหัวเราะเยาะเขา   
 พระองค์ทรงเยาะเย้ยประชาชาติทั้งปวง   
 9ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์   ข้าพระองค์จะคอยเฝ้าพระองค์   
 ข้าแต่พระเจ้า  เพราะพระองค์ ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์   
 10พระเจ้าของข้าพเจ้าจะพบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคง ของพระองค์   
 พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้ามองเห็นพวกศัตรูของข้าพเจ้าแพ้   
 11ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า  พระโล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย   
 ขออย่าทรงสังหารเขาเสีย  เกรงว่า   ชนชาติของข้าพระองค์จะลืม   
 ขอให้เขาระหกระเหินไปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์   
 และทำให้เขาล้มลง   
 12เพราะบาปปากของเขา  และเพราะถ้อยคำริมฝีปากของเขา   
 ขอให้เขาติดกับโดยความเย่อหยิ่ง
ของเขา   
 เพราะการแช่งสาปและการมุสาซึ่งเขาเปล่งออกมานั้น   
 13ขอทรงเผาผลาญเขาเสียโดยพระพิโรธ   
 ขอทรงเผาผลาญเขาจนเขาไม่เหลือเลย   
 แล้วคนจะทราบว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือยาโคบ   
 ถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก   
 14เขากลับมาทุกเย็น   
 หอนอย่างสุนัข   
 และตระเวนไปทั่วนคร   
 15เขาเที่ยวไปหาอาหาร   
 ถ้าไม่ได้กินอิ่มก็ขู่คำราม   
 16แต่ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงอานุภาพของพระองค์   
 ข้าพระองค์จะร้องเพลงถึงความรัก   มั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า   
 เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์   
 เป็นที่ลี้ภัยในยามทุกข์ของข้าพระองค์   
 17ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์   ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์   
 ข้าแต่พระเจ้า  เพราะพระองค์ทรงเป็น ป้อมปราการของข้าพระองค์   
 พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์

สุภาษิต 23:13-14

 13อย่ายับยั้งการตีสอนเสียจากเด็ก   
  ถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว  เขาจะไม่ตาย   
 14ถ้าเจ้าตีเขาด้วยไม้เรียว   
  เจ้าจะช่วยชีวิตของเขาให้รอดจากแดนผู้ตาย 

Tuesday 14 September 2010

วันที่14

อิสยาห์ 15:1-18:7

1ครุวาทเกี่ยวกับ โมอับ
  เพราะนครอาร์ถูกทำลายร้างในคืนเดียว
 โมอับได้ถึงหายนะ
  เพราะนครคีร์ถูกทำลายร้างในคืนเดียว
 โมอับได้ถึงหายนะ
 2บายิทและดีโบนได้ขึ้นไป
 ยังปูชนียสถานสูงเพื่อจะร่ำไห้
  โมอับคร่ำครวญ
 ถึง(,) เนโบและถึง(หรือ  บน) เมเดบา
  ศีรษะทุกศีรษะก็โล้น
 และหนวดเคราทุกคนก็ถูกขลิบ
 3เขาคาดผ้ากระสอบอยู่ในถนนหนทาง
 ทุกคนร่ำไห้เป็นนักหนา
 ที่บนหลังคาเรือนและตามลานเมือง
 4เมืองเฮชโบนและเอเลอาเลห์ส่งเสียงร้อง
 เสียงของเขาได้ยินไปถึงเมืองยาฮาส
  เพราะฉะนั้น   ชายที่ถืออาวุธของโมอับ   จึงร้องเสียงดัง
 จิตใจของเขาสั่นสะเทือน
 5จิตใจของข้าพเจ้าร้องออกมาเพื่อโมอับ
 ผู้หลบภัยของโมอับนั้นหนีไปยังโศอาร์
 ไปยังเอกลัทเชลีชิยาห์
  เพราะตามทางขึ้นไปเมืองลูฮีท
 เขาขึ้นไปคร่ำครวญ
  ตามถนนสู่เมืองโฮโรนาอิม
 เขาเปล่งเสียงร้องถึงการทำลาย
 6ธารน้ำที่นิมริมก็ถูกทิ้งร้าง
  หญ้าก็เหี่ยวแห้ง  และหญ้าอ่อนก็ไม่งอก
 ผักสดไม่มีเลย
 7เพราะฉะนั้น   ส่วนที่เหลือซึ่งเขาเก็บได้
 และที่เขาสะสมไว้
  เขาขนเอาไป
 ข้ามลำธารต้นไค้
 8เพราะเสียงร้องได้กระจายไป
 ทั่วแผ่นดินโมอับ
  เสียงคร่ำครวญไปถึงเอกลาอิม
 เสียงคร่ำครวญไปถึงเบเออร์เอลิม
 9เพราะน้ำของเมืองดีโมนมีเลือดเต็มไปหมด
 ถึงกระนั้นเรายังจะเพิ่มภัยแก่ดีโมนอีก
  คือให้สิงห์สำหรับชาวโมอับที่หนีไป
 และสำหรับคนที่เหลืออยู่ในแผ่นดิน


บทที่  16

1เขาได้ส่งลูกแกะไปยังผู้ปกครองแผ่นดิน
  จากเส-ลาตามทางถิ่นทุรกันดาร
  ไปยังภูเขาแห่งธิดาของศิโยน
 2เหมือนนกที่กำลังบินหนี
  อย่างลูกนกที่พลัดรัง
  ธิดาของโมอับเป็นอย่างนั้น
  ตรงท่าลุยข้ามแม่น้ำอารโนน
 3“จงให้คำปรึกษา
  จงอำนวยความยุติธรรม
  จงทำร่มเงาของท่านเหมือนกลางคืน
  ณ  เวลาเที่ยงวัน
  จงช่วยซ่อนผู้ถูกขับไล่
  อย่าได้หักหลังผู้ลี้ภัย
 4ให้ผู้ถูกขับไล่ของโมอับอาศัยอยู่
ท่ามกลางท่าน
  จงเป็นที่กำบังภัยแก่เขาให้พ้นจากผู้ทำลาย
  เมื่อไม่มีผู้บีบบังคับแล้ว
  และการทำลายได้หยุดยั้งแล้ว
  และเมื่อผู้เหยียบย่ำไว้
  ได้หายตัวไปจากแผ่นดินแล้ว
 5พระที่นั่งก็ได้รับการสถาปนาด้วยความรักมั่นคง
  บนนั้นจะมีผู้หนึ่งนั่งอยู่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
  ในเต็นท์ของดาวิด
  คือท่านผู้พิพากษาและแสวงความยุติธรรม
  และรวดเร็วในการกระทำความชอบธรรม”
 6เราได้ยินถึงความเย่อหยิ่งของโมอับ
  ว่าเขาหยิ่งเสียจริงๆ
  ถึงความจองหองของเขา   ความเย่อหยิ่งของเขา   และความทะลึ่งของเขา
  การโอ้อวดของเขาเป็นการเท็จ
 7เพราะฉะนั้น  โมอับจะคร่ำครวญเพื่อโมอับ   ทุกคนจะคร่ำครวญ
  เจ้าทั้งหลายจะโอดครวญ  ด้วยทุกข์เทวษ
  เนื่องด้วยขนมองุ่นแห้งของเมืองคีร์หะเรเชท
 8เพราะทุ่งนาแห่งเมืองเฮชโบนอ่อนระทวย
  ทั้งเถาองุ่นของสิบมาห์
  เจ้านายทั้งหลายแห่งบรรดาประชาชาติ
  ได้ตีกิ่งของมันลง
  ซึ่งไปถึงเมืองยาอะเศร
  และเจิ่นไปถึงถิ่นทุรกันดาร
  หน่อของมันก็แตกกว้างออกไป
  และผ่านข้ามทะเลไป
 9เพราะฉะนั้น  ข้าพเจ้าจึงร้องไห้กับคนร้องไห้ของเมืองยาเซอร์
  เนื่องด้วยเถาองุ่นของสิบมาห์
  เฮชโบน  และเอเลอาเลห์เอ๋ย
  ข้าพเจ้าจะราดเจ้าด้วยน้ำตาของข้าพเจ้า
  เพราะเสียงโห่ร้องของสงครามได้มาถึง
  ผลฤดูร้อนของเจ้าและถึงข้าวที่เกี่ยวเก็บของเจ้าแล้ว
 10เขาเอาความชื่นบาน  และความยินดี
ไปเสีย
  จากที่สวนผลไม้
  เขาไม่ร้องเพลงกันตามสวนองุ่น
  ไม่มีใครโห่ร้อง
  ตามบ่อย่ำองุ่นไม่มีคนย่ำให้เหล้าองุ่นออก
  เสียงเห่ย่ำองุ่นเงียบเสียแล้ว
 11ฉะนั้น  จิตของข้าพเจ้าจึงร่ำไห้เหมือนพิณเขาคู่เพื่อโมอับ
  และใจของข้าพเจ้าร่ำไห้เพื่อคีร์เฮเรส
 12และเมื่อโมอับไปเฝ้า   เมื่อเขาเหน็ดเหนื่อยอยู่ที่ปูชนียสถานสูงนั้น   และเมื่อเขาเข้ามาในสถานศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพื่อจะอธิษฐาน   เขาก็จะไม่ได้รับผล
 13นี่เป็นพระวจนะซึ่งพระเจ้าตรัสเกี่ยวกับโมอับในอดีต 14แต่บัดนี้   พระเจ้าตรัสว่า   “ภายในสามปีตามปีจ้างลูกจ้าง(คือ   ช่วงเวลาที่กำหนดแน่อย่างลูกจ้างจะทำงาน ให้พอดีกับเวลาที่กำหนดไว้   ไม่เกินเลย)    ศักดิ์ศรีของโมอับจะถูกเหยียดหยาม   แม้มวลชนมหึมาของเขาทั้งสิ้นก็ดี   และคนที่เหลืออยู่นั้นก็จะน้อยและกะปลกกะเปลี้ย”

บทที่ 17

1ครุวาทเกี่ยวกับเมืองดามัสกัส
  ดูเถิด  ดามัสกัสจะหยุดไม่เป็นเมืองหลวง
  และจะกลายเป็นกองสิ่งปรักหักพัง
 2หัวเมืองของดามัสกัสจะเริศร้างเป็นนิตย์
  จะเป็นที่สำหรับฝูงแพะแกะ
  ซึ่งมันจะนอนลงและไม่มีผู้ใดจะให้มันกลัว
 3ป้อมปราการจะสูญหายไปจากเอฟราอิม
  และราชอาณาจักรจะศูนย์หายไปจากดามัสกัส
  และคนที่เหลืออยู่ของซีเรีย
  จะเป็นเหมือนศักดิ์ศรีของคนอิสราเอล
  พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ
 4และในวันนั้น
  ศักดิ์ศรีของยาโคบจะตกต่ำ
  และความอ้วนที่เนื้อของเขา
จะซูบผอมลง
 5และจะเป็นเหมือนเมื่อคนเกี่ยวข้าว
  เก็บเกี่ยวพืชข้าวที่ตั้งอยู่
  และแขนของเขาจะเกี่ยวรวงข้าว
  และเหมือนเมื่อคนหนึ่งเก็บรวงข้าว
  ในที่ลุ่มเรฟาอิม
 6จะมีเหลืออยู่บ้างในนั้น
  เหมือนอย่างเมื่อตีต้นมะกอกเทศให้ลูกหล่น
  จะมีเหลืออยู่ที่ยอดสูงที่สุด
  สองสามลูก
  หรือที่เหลือบนกิ่งไม้
  ผลสี่ห้าลูก   พระเยโฮวาห์  พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสดังนี้แหละ
 7ในวันนั้น   คนจะเอาใจใส่ในพระผู้สร้างตน   และนัยน์ตาเขาจะมองดูองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล 8เขาจะไม่เอาใจใส่แท่นบูชา   ผลงานแห่งมือของเขา   และเขาจะไม่มองสิ่งที่นิ้วของเขาเองได้กระทำขึ้น   ไม่ว่าจะเป็นอาเชริม(สิ่งเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ใช้ ในการนมัสการเจ้าแม่อาเชรา   ชะรอยจะเป็นเสาไม้แกะ   หรือรูปเคารพอันเป็นรูปเจ้าแม่) หรือแท่นเผาเครื่องหอม
 9ในวันนั้นเมืองเข้มแข็งของเขา   จะเป็นเหมือนที่เริศร้างของคนฮีไวต์   และคนอาโมไรต์   ซึ่งเขาได้ทิ้งให้เริศร้างเพราะคนอิสราเอล   และจะเป็นที่เริศร้าง
 10เพราะเจ้าได้หลงลืมพระเจ้าแห่งความรอดของเจ้าเสีย
  และมิได้จดจำองค์พระศิลาลี้ภัยของเจ้า
  แม้ว่าเจ้าปลูกต้นอภิรมย์
  และปักกิ่งแห่งพระต่างด้าวไว้
 11แม้ว่าเจ้าทำให้มันงอกในวันที่เจ้าปลูกมัน
  และทำให้มันออกดอกในเช้าของวันที่เจ้าหว่าน
  ถึงกระนั้นผลการเก็บเกี่ยวก็จะหนีไป
  ในวันแห่งความกลัดกลุ้มและความเจ็บอย่างรักษาไม่ได้
 12เอ๊ะ  เสียงกึกก้องของชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก
  เขากึกก้องเหมือนทะเลก้องกึก
  เอ๊ะ  นั่นเสียงครืนๆของชนชาติทั้งหลาย
  มันครืนๆเหมือนเสียงครืนๆของน้ำที่มีกำลังมาก
 13ชนชาติทั้งหลายครืนๆเหมือนเสียงครืนๆของน้ำเป็นอันมาก
  แต่พระองค์จะทรงขนาบไว้   และมันจะหนีไปไกลเสีย
  ถูกไล่ไปเหมือนแกลบต้องลมบนภูเขา
  เหมือนพืชแห้งปลิวไปต่อหน้าพายุ
 14ดูเถิด   พอเวลาเย็น   ก็ความสยดสยอง
  ก่อนรุ่งเช้า   ก็ไม่มีเขาทั้งหลายแล้ว
  นี่เป็นส่วนของบรรดาผู้ที่ริบของของเรา
  และเป็นส่วนของผู้ที่ปล้นเรา


บทที่ 18

1เฮ้ย  แผ่นดินแห่งปีกที่กระหึ่ม
 ซึ่งอยู่เลยแม่น้ำแห่งเอธิโอเปีย
 2ซึ่งส่งทูตไปโดยทางทะเล(   น่าจะเป็นคำประพันธ์   อ้างถึงแม่น้ำไนล์)  
 โดยเรือต้นกกบนน้ำ
  เจ้าผู้สื่อสารที่รวดเร็วเอ๋ย  จงไป
 ยังประชาชาติที่คนร่างสูง
และเกลี้ยงเกลา
  ยังชนชาติที่เขากลัวทั้งใกล้และไกล
 ยังประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ
 ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่ง
 3ท่านทั้งปวงผู้เป็นชาวพิภพ
 ท่านอาศัยอยู่บนแผ่นดินโลก
  เมื่อมีอาณัติสัญญายกขึ้นบนภูเขา
จงมองดู
 เมื่อมีเสียงเขาสัตว์เป่า  จงฟัง
 4เพราะพระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า
  “เราจะค่อยๆมองจากที่อาศัยของเรา
 เหมือนความร้อนที่กระจ่างอยู่ในแสงแดด
 เหมือนอย่างเมฆแห่งน้ำค้างในความร้อนของฤดูเกี่ยว”
 5เพราะก่อนถึงฤดูเกี่ยว  เมื่อดอกบานพ้นไปแล้ว
 และดอกกลายเป็นผลองุ่นกำลังสุก
  พระองค์จะทรงตัดกิ่งออกด้วยขอลิดแขนง
 พระองค์จะทรงโค่นกิ่งสาขานั้นเสีย
 6และเขาทั้งหลายจะถูกทิ้งไว้ทั้งหมด
 ให้แก่เหยี่ยวที่อยู่บนภูเขา
 และแก่สัตว์แห่งแผ่นดินโลก
  และนกกินเหยื่อจะกินเสียในฤดูร้อน
 และบรรดาสัตว์ทั้งสิ้นแห่งแผ่นดินโลกจะกินเสียในฤดูหนาว
 7ในครั้งนั้น   เขาจะนำของกำนัลมาถวายแด่พระเจ้าจอมโยธา
  จากชนชาติที่คนร่างสูงและเกลี้ยงเกลา
 จากชนชาติที่เขากลัวทั้งใกล้และไกล
  จากประชาชาติที่เข้มแข็งและมักชนะ
 ซึ่งแผ่นดินของเขามีแม่น้ำแบ่งยังสถานที่แห่งพระนาม ของพระเจ้าจอมโยธา   คือภูเขาศิโยน



กาลาเทีย 1:1-24



1เปาโล   ผู้เป็นอัครทูต   (มิใช่มนุษย์แต่งตั้ง   หรือมนุษย์เป็นตัวแทนแต่งตั้ง   แต่พระเยซูคริสต์และพระบิดาเจ้า   ผู้ทรงโปรดให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย   ได้ทรงแต่งตั้ง) 2และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้า
 เรียน   คริสตจักรทั้งหลายแห่งแคว้นกาลาเทีย
 3ขอให้พระคุณและสันติสุขจากพระบิดาเจ้า   และพระเยซูคริสตเจ้าของเรา   ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด 4พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลาย   เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย   ตามน้ำพระทัยพระบิดาเจ้าของเรา 5ขอให้พระเจ้าทรงมีพระสิริตลอดไปเป็นนิตย์   อาเมน 6ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจ   ที่พวกท่านพากันละทิ้งพระองค์ไปอย่างรวดเร็ว   พระองค์ทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์   แต่ท่านกลับหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย 7ความจริงข่าวประเสริฐอื่นไม่มี   แต่ว่ามีบางคนที่ทำให้ท่านยุ่งยาก   และปรารถนาที่จะบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ 8แม้แต่เราเองหรือทูตสวรรค์   ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน   ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วนั้น   ก็จะต้องถูกแช่งสาป 9ตามที่เราได้พูดไว้ก่อนแล้ว   บัดนี้ข้าพเจ้าพูดอีกว่า   ถ้าผู้ใดประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน   ที่ขัดกับข่าวประเสริฐซึ่งท่านได้รับไว้แล้ว   ผู้นั้นจะต้องถูกแช่งสาป
 10บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเอาใจมนุษย์หรือ   ข้าพเจ้าทำให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้ามิใช่หรือ   ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ   ถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่   ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์ 11พี่น้องทั้งหลาย   ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่า   ข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไปแล้วนั้นไม่ใช่ของมนุษย์ 12เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนั้นจากมนุษย์   ไม่มีมนุษย์คนใดสอนข้าพเจ้า   แต่ข้าพเจ้าได้รับข่าวประเสริฐนั้น   โดยพระเยซูคริสต์ทรงสำแดงแก่ข้าพเจ้า 13เพราะท่านก็ได้ยินถึงชีวิตในหนหลังของข้าพเจ้า   เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในลัทธิยิวแล้วว่า   ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างร้ายแรงเหลือเกิน   และพยายามที่จะทำลายเสีย 14และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยิวนั้น   ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนหลายคนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน   และที่เป็นชนชาติเดียวกัน   เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีหัวรุนแรง   ยิ่งกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า 15แต่เมื่อพระเจ้าผู้ทรงสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา   และได้ทรงโปรดบัญชาใช้ข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์   ทรงพอพระทัย 16ที่จะทรงสำแดงพระบุตรของพระองค์แก่ข้าพเจ้า   เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรแก่ชนต่างชาตินั้น   ข้าพเจ้าก็มิได้ปรึกษากับมนุษย์คนใดเลย 17และข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม   เพื่อพบกับผู้ที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า   แต่ข้าพเจ้าได้ออกไปยังประเทศอาระเบียทันที   แล้วก็กลับมายังกรุงดามัสกัสอีก
 18สามปีต่อมา   ข้าพเจ้าขึ้นไปหาเคฟาสที่กรุงเยรูซาเล็ม   และพักอยู่กับท่านสิบห้าวัน 19แต่ว่าข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่นเลย   นอกจากยากอบ   น้องขององค์พระผู้เป็นเจ้า 20(เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้   พระเจ้าทรงเป็นพยานได้ว่า   ข้าพเจ้าไม่มุสาเลย) 21หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าไปในเขตแดนซีเรียและซีลีเซีย 22ข้าพเจ้าไม่ได้พบกับคริสตจักรทั้งหลายในแคว้นยูเดียเลย 23เขาเพียงแต่ได้ยินว่า   “ผู้ที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเรา   บัดนี้ได้ประกาศความเชื่อซึ่งเขาได้เคยพยายามทำลาย” 24พวกเขาได้สรรเสริญพระเจ้าก็เพราะข้าพเจ้าเป็นเหตุ



สดุดี  58:1-11



1ท่านผู้เป็นเจ้านาย  ท่านพูดอย่างชอบธรรมหรือ
 บุตรของมนุษย์เอ๋ย  ท่านพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมหรือ
 2เปล่าเลย  ในใจของท่าน   ท่านประดิษฐ์ความผิด
 มือของท่านชั่งความทารุณออกให้บนแผ่นดินโลก
 3คนอธรรมหลงเจิ่นไปตั้งแต่จากครรภ์
 เขาทำผิดมาตั้งแต่เกิด  คือพูดมุสา
 4เขามีพิษเหมือนพิษงู
 เหมือนงูเห่าหูหนวกที่อุดหูของมัน
 5มันจึงไม่ได้ยินเสียงของหมองู
 หรือเชื่อฟังผู้มีมนต์ขลัง
 6ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงหักฟันในปากของมันเสีย
 ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงฉีกเขี้ยวของสิงห์หนุ่มออกเสีย
 7ให้เขาหายไปเหมือนน้ำไหล
 พระองค์จะทรงเล็งธนูที่เขาทั้งหลาย   และเขาจะถูกสังหาร
 8ขอให้เขาเหมือนทากที่ละลายเป็นเมือกไป
 เหมือนทารกแท้งที่ไม่เคยเห็นดวงอาทิตย์
 9เร็วยิ่งกว่าหม้อจะรู้สึกร้อน   ด้วยไฟหนามไข่กุ้ง
 ไม่ว่าสดหรือไหม้เป็นเปลวก็ขอพระองค์ทรง กวาดเขาไปเสีย
 10คนชอบธรรมจะเปรมปรีดิ์  เมื่อเขาเห็นการแก้แค้น
 เขาจะเอาโลหิตของคนอธรรมล้างเท้าของเขา
 11จะมีคนกล่าวว่า   “แน่แล้ว  มีบำเหน็จให้แก่คนชอบธรรม
 แน่แล้ว  มีพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาโลก”


สุภาษิต 23:12


12จงเอาใจของเจ้ารับคำสั่งสอน
  และเอาหูของเจ้ารับถ้อยคำแห่งความรู้   

Monday 13 September 2010

วันที่ 13 กันยายน

อิสยาห์ 12:1-14:32


1ในวันนั้น  ท่านจะกล่าวว่า  
  “ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์จะโมทนาพระคุณพระองค์  
  เพราะแม้พระองค์ทรงพระพิโรธต่อข้าพระองค์  
  ความกริ้วของพระองค์ก็หันกลับไป  
  และพระองค์ทรงเล้าโลมข้าพระองค์  
 2“ดูเถิด  พระเจ้าเป็นความรอดของข้าพเจ้า  
  ข้าพเจ้าจะวางใจและไม่กลัว  
  เพราะพระเจ้าทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า  
  และพระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า แล้ว”  
 
 3เจ้าจะโพงน้ำด้วยความชื่นบาน   จากบ่อแห่งความรอด 4และในวันนั้น   เจ้าจะกล่าวว่า  
  “จงโมทนาพระคุณพระเจ้า  
  จงร้องทูลออกพระนามของพระองค์  
  จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย  
  จงป่าวร้องว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู  
 5“จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  
 เพราะพระองค์ทรงกระทำกิจอันดีเลิศ  
  ให้เรื่องนี้รู้กันทั่วไปในแผ่นดินโลก  
 6ชาวศิโยนเอ๋ย  จงโห่ร้องและร้องเพลงด้วยความชื่นบาน  
  เพราะองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลนั้น   ก็ใหญ่ยิ่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า


บทที่ 13

1ครุวาทเกี่ยวกับบาบิโลน   ตามซึ่งอิสยาห์บุตรชายของอามอสได้เห็น  
 2จงชูอาณัติสัญญาขึ้นบนภูเขาหัวโล้น  
  จงร้องเรียกเขาทั้งหลาย  
  จงโบกมือให้เขาเข้าไป  
  ในประตูเมืองของเจ้านาย  
 3ตัวเราเองได้บัญชาแก่ผู้ที่เลือกสรรของเราได้เกณฑ์ ชายฉกรรจ์ของเรา  
  ให้จัดการตามความโกรธของเรา  
  คือผู้ที่เต้นโลดอย่างภูมิใจของเรา  
 4ฟังซิ  เสียงอึงอลบนภูเขา  
  ดั่งเสียงมวลชนมหึมา  
  ฟังซี  เสียงอึงคะนึงของราชอาณาจักรทั้งหลาย  
  ของบรรดาประชาชาติที่รวมเข้าด้วยกัน  
  พระเจ้าจอมโยธากำลังระดม  
  พลเพื่อสงคราม  
 5เขาทั้งหลายมาจากแผ่นดินอันไกล  
  จากสุดปลายฟ้าสวรรค์  
  พระเจ้าและอาวุธแห่งพระพิโรธของพระองค์  
  เพื่อจะทำลายแผ่นดินโลก(  หรือ   แผ่นดิน) ทั้งสิ้น  
 6จงพิลาปร่ำไห้ซิ   เพราะวันแห่งพระเจ้ามาใกล้แล้ว  
  วันนั้นจะมา  เป็นการทำลาย   จากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  
 7เพราะฉะนั้น  ทุกๆมือก็จะอ่อนเปลี้ย  
  และจิตใจของทุกคนก็จะละลายไป  
 8และเขาทั้งหลายจะตกใจกลัว  
  ความเจ็บและความปวดจะเกาะเขา  
  เขาจะทุรนทุรายดั่งหญิงกำลังคลอดบุตร  
  เขาจะมองตากันอย่างตกตะลึง  
  หน้าของเขาแดงเป็นแสงไฟ  
 9ดูเถิด  วันของพระเจ้าจะมา  
  ดุร้ายด้วยความพิโรธและความโกรธอันเกรี้ยวกราด  
  ที่จะกระทำให้แผ่นดินโลก(หรือ   แผ่นดิน) เป็นที่ร้างเปล่า  
  และเพื่อจะทำลายคนบาปของโลกเสียจากโลก  
 10เพราะดวงดาวแห่งฟ้าสวรรค์  และหมู่ดาวในนั้น  
  จะไม่ทอแสงของมัน  
  ดวงอาทิตย์ก็จะมืดเมื่อเวลาขึ้น  
  และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงของ มัน  
 11เราจะลงโทษโลกเพราะความชั่วร้าย  
  และคนอธรรมเพราะความบาปผิด
ของเขา  
  เราจะกระทำให้ความเย่อหยิ่งของคนจองหองสิ้นสุด  
  และปราบความยโสของคนโหดร้าย  
 12เราจะกระทำให้หาคนยากเสียยิ่งกว่าหาทองคำนพคุณ  
  และหามนุษย์ได้ยากยิ่งกว่าหาทองคำแห่งโอฟีร์  
 13เพราะฉะนั้น  เราจะกระทำให้ฟ้าสวรรค์สั่นสะเทือน  
  และแผ่นดินโลกจะสะท้านพลัดจากที่ของมัน  
  โดยพระพิโรธของพระเจ้าจอมโยธา  
  ในวันแห่งความโกรธอันเกรี้ยวกราดของพระองค์   3:7  
 14คนทุกคนจะหันเข้าสู่ชนชาติของตนเอง  
  และคนทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตนเอง  
  ดั่งละมั่งที่ถูกล่า  
  หรือเหมือนแกะที่ไม่มีผู้รวมฝูง  
 15ถ้าเขาพบใครเข้าก็จะถูกแทงทะลุ  
  และถ้าใครถูกจับก็จะล้มลงด้วยดาบ  
 16ทารกของเขาจะถูกฟาดลงอย่างยับเยิน  
  ต่อหน้าต่อตาเขา  
  เรือนของเขาจะถูกปล้น  
  และภรรยาของเขาจะถูกขืนใจ  
 17ดูเถิด  เรากำลังรบเร้าให้ชาวมีเดีย
มาสู้เขา  
  ผู้ซึ่งไม่เอาใจใส่ในเรื่องเงิน  
  และไม่ไยดีในเรื่องทองคำ  
 18คันธนูของเขาจะสังหารชายหนุ่ม  
  เขาจะไม่ปรานีต่อผลของครรภ์  
  นัยน์ตาของเขาจะไม่สงสารเด็ก  
 19และบาบิโลน  ซึ่งโอ่อ่าในบรรดาราชอาณาจักร  
  เมืองที่สง่าและเป็นที่ภูมิใจของชาวเคลเดีย  
  จะเป็นดังเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์  
  เมื่อพระเจ้าทรงคว่ำมันเสียนั้น  
 20จะไม่มีใครเข้าอยู่ในบาบิโลน  
  หรืออาศัยอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์  
  คนอาหรับจะไม่กางเต็นท์ของเขาที่นั่น  
  ไม่มีผู้เลี้ยงแกะที่จะให้แกะของเขานอนลงที่นั่น  
 21แต่สัตว์ป่าจะนอนลงที่นั่น  
  และบ้านเรือนในนั้นจะเต็มไปด้วยนกทึดทือ  
  นกกระจอกเทศจะอาศัยที่นั่น  
  เมษปีศาจจะเต้นรำอยู่ที่นั่น  
 22หมาจิ้งจอกจะเห่าหอนอยู่ในป้อมปราสาทของเมืองนั้น  
  และหมาป่าจะอยู่ในวังแสนสุข  
  เวลาของเมืองนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว  
  และวันเวลาของมันจะไม่ยืดให้ยาวไป


บทที่ 14

1พระเจ้าจะทรงมีเมตตาต่อยาโคบและจะ ทรงเลือกอิสราเอลอีก   และจะตั้งเขาทั้งหลายไว้ในแผ่นดินของเขา   คนต่างด้าวจะสมทบกับเขา   และติดพันอยู่กับเชื้อสายของยาโคบ 2และชนชาติทั้งหลายจะรับเขาและนำเขา ทั้งหลายมายังที่ของเขา   และเชื้อสายของอิสราเอลจะมีกรรมสิทธิ์ ในเขาเป็นทาสชายหญิงในแผ่นดินของพระเจ้า   ผู้ที่จับเขาเป็นเชลยจะถูกเขาจับเป็นเชลย   และจะปกครองผู้ที่เคยบีบบังคับเขา  
 3เมื่อพระเจ้าประทานให้เจ้าได้หยุดพักจาก ความเจ็บปวดของเจ้า   และจากความวุ่นวายและจากงานหนักซึ่งเจ้า ถูกบังคับให้กระทำ 4เจ้าจะยกคำเย้ยหยันนี้กล่าวต่อพระราชาแห่งบาบิโลนว่า  
  “เออ  ผู้บีบบังคับก็สงบไปแล้วหนอ  
  ความทะลึ่งเกรี้ยวกราดของเขาก็สงบไปด้วยซิ  
 5พระเจ้าทรงหักไม้พลองของคนอธรรม  
  คทาของผู้ครอบครอง  
 6ซึ่งตีชนชาติทั้งหลายด้วยความพิโรธ  
  ด้วยการตีอย่างไม่หยุดยั้ง  
  ซึ่งได้ครอบครองประชาชาติด้วย
ความโกรธ  
  ด้วยการข่มเหงอย่างที่ไม่อ่อนข้อ  
 7โลกทั้งสิ้นก็พักและสงบอยู่  
  เขาทั้งหลายร้องเพลงโพล่งออกมา  
 8ต้นสนสามใบเปรมปรีดิ์เพราะเจ้า  
  ต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอนด้วยและกล่าวว่า  
  'ตั้งแต่เจ้าตกต่ำ  
  ก็ไม่มีผู้โค่นขึ้นมาต่อสู้เราแล้ว'  
 9แดนคนตายเบื้องล่างก็ตื่นเต้น  
  เพื่อต้อนรับเจ้าเมื่อเจ้ามา  
  มันปลุกให้ชาวแดนมาต้อนรับเจ้า  
  คือผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำของโลก  
  มันทำให้บรรดาผู้ที่เคยเป็นพระราชา   แห่งประชาชาติทั้งหลาย  
  ลุกขึ้นมาจากพระที่นั่งของเขา  
 10ทุกตนจะพูด  และกล่าวแก่เจ้าว่า  
  'เจ้าก็อ่อนเปลี้ยอย่างเราด้วย  
  เจ้ากลายเป็นอย่างพวกเรา'  
 11ความโอ่อ่าของเจ้าถูกนำลงมาถึงแดนคนตาย  
  และเสียงพิณของเจ้า  
  ตัวหนอนจะเป็นที่นอนอยู่ใต้ตัวเจ้า  
  และตัวหนอนจะเป็นผ้าห่มของเจ้า  
 12“โอ  ดาวประจำกลางวันเอ๋ย  พ่อโอรสแห่งพระอรุณ  
  เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ  
  เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ  
  เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติ
ตกต่ำน่ะ  
 13เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า  
  'ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์  
  เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า  
  ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น  
  ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน(คือ   สถานเทพชุมนุม)  
  ณ ที่อุดรไกล  
 14ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ  
  ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด'  
 15แต่เจ้าถูกนำลงมาสู่แดนคนตาย  
  ยังที่ลึกของปากแดน  
 16บรรดาผู้ที่เห็นเจ้าจะเพ่งดูเจ้า  
  และจะพิจารณาเจ้าว่า  
  'ชายคนนี้หรือที่ทำให้โลกสั่นสะเทือน  
  ผู้เขย่าราชอาณาจักรทั้งหลาย  
 17ผู้ที่ได้กระทำให้โลกเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดาร  
  และคว่ำหัวเมืองของโลกเสีย  
  ผู้ไม่ยอมให้เชลยกลับไปบ้านของเขา'  
 18พระราชาทั้งสิ้นของบรรดาประชาชาตินอนอยู่อย่างมีเกียรติ  
  ต่างก็อยู่ในอุโมงค์ของตน  
 19แต่เจ้าถูกเหวี่ยงออกไป  ห่างจากหลุมศพของเจ้า  
  เป็นศพที่น่าเกลียด  
  สวมเสื้อของผู้ที่ถูกฆ่า  คือที่ถูกแทง
ด้วยดาบ  
  ซึ่งลงไปยังศิลาของหลุมศพ  
  เป็นศพที่ถูกเหยียบย่ำ  
 20เจ้าจะไม่ได้รับการฝังศพร่วมกับเขา  
  เพราะเจ้าได้ทำลายแผ่นดินของเจ้า  
  เจ้าได้สังหารประชาชนของเจ้า  
  “ขออย่าให้ใครเอ่ยถึงชื่อของเชื้อวงศ์   แห่งผู้กระทำความชั่วอีกเลย  
 21จงเตรียมสังหารลูกๆของเขาเถิด  
  เพราะกรรมชั่วแห่งบิดาของเขา  
  เกรงว่าเขาทั้งหลายจะลุกขึ้นเป็นเจ้า
ของโลก  
  และกระทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยหัวเมือง”  
 22พระเจ้าจอมโยธา  ตรัสว่า   “เราจะลุกขึ้นสู้กับเขา   และจะตัดชื่อกับคนที่เหลืออยู่เสียจากบาบิโลน   และตัดลูกหลานและพงศ์พันธุ์เสีย”   พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 23“และเราจะกระทำให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกาบ้าน   และเป็นสระน้ำ   และจะกวาดด้วยไม้กวาดแห่งการทำลาย”   พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ  
 24พระเจ้าจอมโยธาได้ทรงปฏิญาณว่า  
  'เรากะแผนงานไว้อย่างไร  
  ก็จะเป็นไปอย่างนั้น  
  และเราได้มุ่งหมายไว้อย่างไร  
  ก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้น  
 25คือว่าเราจะตีคนอัสซีเรียในแผ่นดินของเราให้ย่อยยับไป  
  และบนภูเขาของเรา  เหยียบย่ำเขาไว้  
  และแอกของเขานั้นจะพรากไปจากเขาทั้งหลาย  
  และภาระของเขานั้นจากบ่าของเขาทั้งหลาย”  
 26นี่เป็นความมุ่งหมายที่มุ่งหมายไว้  
  เกี่ยวกับแผ่นดินโลกทั้งสิ้น  
  และนี่เป็นพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออก  
  เหนือบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น  
 27เพราะพระเจ้าจอมโยธาทรงมุ่งไว้แล้ว  
  ผู้ใดเล่าจะลบล้างเสียได้  
  พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงเหยียดออก  
  และผู้ใดจะหันให้กลับได้ 28ในปีที่กษัตริย์อาหัสสิ้นพระชนม์   ครุวาทนี้มีมาว่า  
 29“ประเทศฟีลิสเตียเอ๋ย   เจ้าทุกคนอย่าเปรมปรีดิ์ไปเลย  
  ว่าตะบองซึ่งตีเจ้านั้นหักเสียแล้ว  
  เพราะงูทับทางจะออกมาจากรากเง่าของงู  
  และผลของมันจะเป็นงูแมวเซา  
 30และลูกหัวปีของคนยากจนจะมีอาหารกิน  
  และคนขัดสนจะนอนลงอย่างปลอดภัย  
  แต่เราจะฆ่ารากเง่าของเจ้าด้วยการกันดารอาหาร  
  และคนที่เหลืออยู่ของเจ้าจะถูกสังหารเสีย  
 31ประตูเมืองเอ๋ย  พิลาปร่ำไห้ซิ  
กรุงเอ๋ย   จงร้องไห้  
  ประเทศฟีลิสเตียเอ๋ย  เจ้าทุกคนจงละลายเสียในความกลัว  
  เพราะควันออกมาจากอุดร  
  และไม่มีคนล้าหลังในแถวของเขาเลย”  
 32จะตอบทูตของประชาชาตินั้นว่าอย่างไร  
  ก็ว่า  “พระเจ้าได้ทรงสถาปนาศิโยน  
  และผู้ถูกข่มใจในชนชาติของพระองค์  
  ได้พบที่ลี้ภัยในที่นั้น”






2 โครินธ์13:1-14



1ครั้งนี้   จะเป็นครั้งที่สามที่ข้าพเจ้ามาเยี่ยมพวกท่าน   ข้อกล่าวหาใดๆ   ต้องมีพยานสองสามปากจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้ 2ข้าพเจ้าได้เตือนท่านที่ทำบาปมาแล้วและบรรดาคนอื่นๆด้วย   และบัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านอีก   เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับท่านเหมือนกับเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านในครั้งที่สองนั้นว่า   ถ้าข้าพเจ้ามาอีกข้าพเจ้าจะไม่เว้นการติโทษคนเหล่านี้เลย 3เพราะว่าท่านทั้งหลายต้องการที่จะเห็นหลักฐานว่าพระคริสต์ตรัสทางข้าพเจ้า   พระคริสต์มิได้ทรงอ่อนต่อท่าน   แต่ทรงฤทธิ์มากในหมู่พวกท่าน 4เพราะถึงแม้ว่าพระองค์ทรงถูกตรึงเพราะทรงอ่อน   พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า   เพราะว่าเราก็อ่อนด้วยกันกับพระองค์   แต่เรามีชีวิตเป็นอยู่กับพระองค์เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  
 5ท่านจงพิจารณาดูตัวของท่านว่าท่านตั้งอยู่ในความเชื่อหรือไม่   จงชันสูตรตัวของท่านเองเถิด   ท่านไม่สำนึกหรือว่า   พระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย   นอกจากท่านจะแพ้การชันสูตร 6ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงรู้ว่าเรามิได้เป็นคนที่แพ้การชันสูตร 7เราอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายจะไม่กระทำชั่วใดๆ   มิใช่ว่าเราจะให้ปรากฏว่าเราชนะการชันสูตร   แต่เพื่อท่านจะประพฤติเป็นที่ชอบ   ถึงแม้จะดูเหมือนเราเองแพ้การชันสูตร 8เพราะว่าเราจะกระทำสิ่งใดขัดกับความจริงไม่ได้   ได้แต่ทำเพื่อความจริงเท่านั้น 9เพราะว่าเมื่อเราอ่อนแอ   และท่านเข้มแข็ง   เราก็ยินดี   เราอธิษฐานขอสิ่งนี้ด้วย   คือขอให้ท่านทั้งหลายบรรลุถึงความบริบูรณ์ในพระคริสต์ 10ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย   เพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาแล้วจะได้ไม่ต้องกวดขันท่าน   โดยใช้อำนาจซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้า   เพื่อการก่อขึ้น   มิใช่เพื่อการทำลายลง  
 11ในที่สุดนี้พี่น้องทั้งหลาย   ขอลาก่อน   ท่านจงปรับปรุงตัวให้ดี   จงฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้า   จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ   และพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะทรงสถิตอยู่กับท่าน 12จงทักทายปราศรัยกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์ 13ธรรมิกชนทุกคนฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย  
 14ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสตเจ้า   ความรักแห่งพระเจ้า   และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์   จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด





สดุดี 57:1-11



1 ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์   ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์  
 เพราะจิตวิญญาณของข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์  
  ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์  
 จนกว่าภัยอันตรายจะผ่านพ้นไป  
 2ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้าองค์ผู้สูงสุด  
 ต่อพระเจ้าผู้ทรงกระทำการให้สำเร็จเพื่อข้าพเจ้า  
 3พระองค์จะทรงใช้มาจากฟ้าสวรรค์และช่วยข้าพเจ้าให้รอด  
 พระองค์จะทรงให้ผู้เหยียบย่ำข้าพเจ้าได้อาย  
 พระเจ้าจะทรงใช้ความรักมั่นคงและความสัตย์สุจริตลงมา  
 4ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางเหล่าสีหราช  
 ข้าพเจ้านอนท่ามกลางผู้ที่ไฟติดตัวคือบุตรของมนุษย์  
 ฟันของเขาทั้งหลายคือหอกและลูกธนู  
 ลิ้นของเขาคือดาบคม  
 5ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเป็นที่ยกย่อง   เหนือฟ้าสวรรค์  
 ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วแผ่นดินโลก  
 6เขาทั้งหลายวางตาข่ายดักเท้าข้าพเจ้า  
 จิตใจของข้าพเจ้าได้ค้อมลง  
 เขาขุดบ่อไว้ในทางข้าพเจ้า  
 แต่เขาก็ตกลงไปเสียเอง  
 7ข้าแต่พระเจ้า  จิตใจของข้าพระองค์มั่นคง  
 จิตใจของข้าพระองค์มั่นคง  
 ข้าพระองค์จะร้องเพลง   ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดี  
 8จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย  จงตื่นเถิด  
 พิณใหญ่และพิณเขาคู่เอ๋ย  จงตื่นเถิด  
 ข้าพเจ้าจะปลุกอรุณ  
 9ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า   ข้าพระองค์จะถวายโมทนาพระคุณพระองค์   ท่ามกลางประชาชาติ  
 ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญ   พระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย  
 10เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์  
 ความสัตย์สุจริตของพระองค์สูงถึงเมฆ  
 11ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเป็นที่เชิดชูเหนือฟ้าสวรรค์  
 ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วแผ่นดินโลก







สุภาษิต 23:9-11


 9อย่าพูดให้คนโง่ได้ยิน เพราะเขาจะดูหมิ่นปัญญาแห่งถ้อยคำของเจ้า  
 10อย่าโยกย้ายเสาเขตเก่าแก่   หรือเข้าไปในไร่นาของคนกำพร้า  
 11เพราะพระผู้ไถ่ของเขาแข็งแรง  พระองค์จะว่าคดีของเขาต่อสู้เจ้า  

วันที่ 12 กันยายน

Isaiah 10:1-11:16
2 Corinthians 12:11-21
Psalm 56:1-13
Proverbs 23:6-8




อิสยาห์ 10

1วิบัติแก่คนเหล่านั้นที่ออกกฎหมายอธรรม  
 และแก่ผู้เขียนที่เขียนแต่การบีบคั้นเรื่อยไป  
 2เพื่อหันคนขัดสนไปจากความยุติธรรม  
 และปล้นสิทธิของคนจนแห่งชนชาติของเราเสีย  
  เพื่อว่าหญิงม่ายจะเป็นของริบของเขา  
 และเพื่อเขาจะกระทำให้คนกำพร้าพ่อเป็นเหยื่อของเขา  
 3พวกเจ้าจะกระทำอย่างไรในวันลงทัณฑ์  
 ในวันวาตภัยซึ่งมาจากที่ไกล  
  เจ้าจะหนีไปพึ่งใคร  
 และเจ้าจะฝากทรัพย์สมบัติของเจ้าไว้ที่ไหน  
 4ไม่มีอะไรเหลือนอกจากจะไปหลังขด   หลังงออยู่กับนักโทษ  
 หรือล้มลงในหมู่พวกคนที่ถูกฆ่า  
  ถึงกระนั้นก็ดี  พระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ  
 และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่  
 5วิบัติแก่อัสซีเรีย   ผู้เป็นตะบองแห่งความกริ้วของเรา  
 และเป็นไม้พลองแห่งความเกรี้ยวกราดของเรา  
 6เราจะใช้เขาไปสู้ประชาชาติที่ปฏิเสธพระเจ้า  
 เราจะบัญชาเขาให้ไปสู้ชนชาติที่เรากริ้ว  
  ไปเอาของริบและฉวยของปล้น  
 และให้เหยียบย่ำลงเหมือนเหยียบเลนในถนน  
 7แต่เขามิได้ตั้งใจอย่างนั้น  
 และจิตใจของเขาก็มิได้คิดอย่างนั้น  
  แต่ในใจของเขาคิดจะทำลาย  
 และตัดประชาชาติเสียมิใช่เล็กน้อย  
 8เพราะเขาพูดว่า  
  “ผู้บังคับบัญชาของข้าเป็นพระราชาหมดมิใช่หรือ  
 9เมืองคาลโนก็เหมือนเมืองคารเคมิช
มิใช่หรือ  
 เมืองฮามัทก็เหมือนเมืองอารปัดมิใช่หรือ  
 เมืองสะมาเรียก็เหมือนเมืองดามัสกัส
มิใช่หรือ  
 10เหมือนอย่างมือของเราไปถึงบรรดาราชอาณาจักร ของรูปเคารพ  
 ซึ่งรูปเคารพแกะสลักของเขานั้นใหญ่กว่าของ เยรูซาเล็มและสะมาเรีย  
 11เราก็จะไม่ทำแก่เยรูซาเล็มกับรูปเคารพของ เขาดอกหรือ  
 ดังที่เราได้ทำแก่สะมาเรียและรูปเคารพของเขา”  
 12เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำเร็จพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ที่ภูเขา ศิโยนและที่เยรูซาเล็มแล้ว   พระองค์จะทรงลงทัณฑ์แก่ ความโอ้อวดอันจองหองของพระราชาแห่งอัสซีเรีย   และความเย่อหยิ่งอย่างยโสของเขา 13เพราะเขาว่า  
  “ข้าได้กระทำการนี้ด้วยกำลังมือของข้า  
 และด้วยสติปัญญาของข้า   เพราะข้ามีความเข้าใจ  
  ข้าได้รื้อเขตแดนของชนชาติทั้งหลาย  
 และได้ปล้นทรัพย์สมบัติของเขา  
 ข้าได้ขวิดคนเหล่านั้นที่นั่ง   บนพระที่นั่ง(หรือ   บรรดาชาวเมือง) ลงมาเหมือนวัวผู้  
 14มือของข้าได้ฉวยทรัพย์สมบัติของชนชาติทั้งหลาย  
 เหมือนฉวยรังนก  
  และอย่างคนเก็บไข่ซึ่งละทิ้งไว้  
 ข้าก็รวบรวมแผ่นดินโลกทั้งสิ้นดังนั้นแหละ  
  และไม่มีผู้ใดขยับปีกมาปก  
 หรืออ้าปากหรือร้องเสียงจ้อกแจ้ก”  
 15เหล็กสะกัดจะคุยข่มคนที่ใช้มันสกัดนั้นหรือ  
 หรือเลื่อยจะทะนงตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยนั้นหรือ  
  เหมือนกับว่าตะบองจะยกผู้ซึ่งถือมันขึ้นตี  
 หรืออย่างไม้พลองจะยกผู้ที่มิใช่ไม้  
 16ฉะนั้น  องค์พระผู้เป็นเจ้า  พระเจ้าจอมโยธา  
 จะทรงให้โรคผอมแห้งมาในหมู่พวกคนอ้วนพีของเขา  
  ภายใต้เกียรติของเขาจะมีการไหม้ใหญ่โต  
 เหมือนอย่างไฟไหม้  
 17ความสว่างแห่งอิสราเอลจะเป็นไฟ  
 และองค์บริสุทธิ์ของท่านจะกลายเป็นเปลวเพลิง  
  และจะเผาและกินเสียในวันเดียว  
 ซึ่งหนามใหญ่และหนามย่อยของเขา  
 18พระองค์จะทรงทำลาย  
 ศักดิ์ศรีแห่งป่าของเขาและแห่งสวนผลไม้ของเขา  
  ทั้งวิญญาณจิตและร่างกาย  
 และจะเป็นเหมือนเวลาคนเจ็บซูบซีดลงไป  
 19ต้นไม้แห่งป่าของเขาจะเหลือน้อยเต็มที  
 จนเด็กๆจะเขียนลงได้ 20ในวันนั้น  คนอิสราเอลที่เหลืออยู่   และคนรอดตายแห่งเชื้อสายของยาโคบ   จะไม่พิงผู้ที่ตีเขาอีก   แต่จะพักพิงที่พระเจ้า   องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล   โดยความสัตย์จริง 21ส่วนคนที่เหลืออยู่จะกลับมายังพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์   คือคนที่เหลืออยู่ของยาโคบ 22อิสราเอลเอ๋ย   เพราะแม้ว่าชนชาติของเจ้าจะเป็นดั่งทรายในทะเล   คนที่เหลืออยู่เท่านั้นจะกลับมา   การทำลายนั้นกำหนดไว้แล้ว  ล้นหลามไปด้วยความชอบธรรม 23เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า   พระเจ้าจอมโยธาจะทรงกระทำให้สิ้นสุดลงตาม ที่กำหนดไว้แล้วในท่ามกลางแผ่นดินโลกทั้งสิ้น  
 24ฉะนั้น   องค์พระผู้เป็นเจ้า   พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้ว่า   “ชนชาติของเราเอ๋ย   ผู้อยู่ในศิโยน   อย่ากลัวคนอัสซีเรีย   เมื่อเขาตีด้วยตะบองและยกไม้พลองของเขาขึ้นสู้ เจ้าอย่างที่ในอียิปต์ 25เพราะอีกสักหน่อยเท่านั้นความกริ้วของเจ้าจะสิ้นสุด   และความโกรธของเราจะมุ่งตรงที่การทำลายเขา 26และพระเจ้าจอมโยธาจะทรงเหวี่ยงแส้มาสู้เขา   ดังที่พระองค์ทรงโจมตีคนมีเดียน ณ ศิลาโอเรบ   และไม้พลองของพระองค์ที่เคยอยู่เหนือทะเล   พระองค์จะทรงยกขึ้นอย่างที่ในอียิปต์ 27และในวันนั้นภาระของเขาจะพรากไปจากบ่าของเจ้า   และแอกของเขาจะถูกทำลายเสียจากคอของเจ้า”  
  เขาขึ้นไปจากสะมาเรียแล้ว  
 28เขาได้มาถึงอัยยาทแล้ว  
 เขาได้ข้ามมิโกรน  
 เขาเก็บสัมภาระของเขาไว้ที่มิคมาช  
 29เขาเหล่านั้นผ่านช่องหว่างเขามาแล้ว  
 เกบาเป็นที่เขาค้างคืน  
  รามาห์สะทกสะท้าน  
 กิเบอาห์ของซาอูลหนีไปแล้ว  
 30ธิดาของกัลลิมเอ๋ย  ส่งเสียงร้องซี  
 ไลชาห์เอ๋ย  ฟังซี  
 อานาโธทเอ๋ย  น่าสงสารจริง  
 31มัดเมนาห์กำลังหนีอยู่  
 คนเกบิมหนีให้พ้นภัย  
 32ในวันนี้เองเขาจะหยุดอยู่ที่เมืองโนบ  
 เขาจะสั่นกำปั้นของเขา  
 เข้าใส่ภูเขาแห่งธิดาของศิโยน  
 เนินเขาของเยรูซาเล็ม  
 33ดูเถิด  องค์พระผู้เป็นเจ้า  พระเจ้าจอมโยธา  
 จะทรงตัดกิ่งไม้ด้วยกำลังอันน่าคร้ามกลัว  
  ต้นที่สูงยิ่งจะถูกโค่นลงมา  
 และต้นที่สูงจะต้องถูกทลายลง  
 34พระองค์จะทรงใช้ขวานฟันป่าทึบ  
 และเลบานอนซึ่งมีต้นไม้สูงตระหง่านจะล้มลง


Chapter 11

1จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี  
 จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลาย   ของเขา  
 2และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น  
 คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ  
 วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ  
 วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า  
 3ความพึงใจของท่านก็ในความยำเกรงพระเจ้า  
  ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น  
 หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน  
 4แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม  
 และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลก(หรือ   แผ่นดิน) ด้วยความเที่ยงธรรม  
  ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน  
  และท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมแห่งริมฝีปากของ ท่าน  
 5ความชอบธรรมจะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน  
 และความสัตย์สุจริตจะเป็นผ้าคาดบั้นเอวของท่าน  
 6สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ  
 และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ  
  ลูกโคกับสิงห์หนุ่มจะหากินอยู่ด้วยกัน  
 และเด็กเล็กๆจะนำมันไป  
 7แม่โคกับหมีจะกินด้วยกัน  
 ลูกของมันก็จะนอนอยู่ด้วยกัน  
 และสิงห์จะกินฟางเหมือนวัวผู้  
 8และทารกกินนมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า  
 และเด็กที่หย่านมจะเอามือวางบนรังของงูทับทาง  
 9สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำให้เจ็บหรือจะทำลาย  
 ทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา  
 เพราะว่าแผ่นดินโลก(หรือ  แผ่นดิน)    จะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระเจ้า  
 ดั่งน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น  
 10ในวันนั้น  รากแห่งเจสซี   ซึ่งตั้งขึ้นเป็นเครื่องหมายแก่ชนชาติทั้งหลาย   จะเป็นที่แสวงหาของบรรดาประชาชาติ   และที่พำนักของท่านจะรุ่งโรจน์ 11ในวันนั้น   องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงยื่นพระหัตถ์ของพระองค์ ออกไปเป็นครั้งที่สอง   เพื่อจะได้ส่วนชนชาติของพระองค์ที่เหลืออยู่คืนมา   เป็นคนเหลือจากอัสซีเรีย  จากอียิปต์  จากปัทโรส  จากเอธิโอเปีย   จากเอลาม  จากชินาร์  จากฮามัท  และแผ่นดินชายทะเล  
 12พระองค์จะทรงยกเครื่องหมายนั้น ขึ้นให้แก่บรรดาประชาชาติ  
 และจะชุมนุมอิสราเอลที่พลัดพราก  
  และรวบรวมยูดาห์ที่กระจัดกระจาย  
 จากสี่มุมแห่งแผ่นดินโลก   1:5  
 13ความริษยาของเอฟราอิมจะพรากไป  
 และบรรดาผู้ที่รบกวนยูดาห์(หรือ   บรรดาคนในยูดาห์ผู้ทำการรบกวน)  
จะถูกตัดออกไป  
  เอฟราอิมจะไม่ริษยายูดาห์  
 และยูดาห์จะไม่รบกวนเอฟราอิม  
 14แต่เขาทั้งหลายจะโฉบลงเหนือไหล่เขาของคน ฟีลิสเตียทางตะวันตก  
 และเขาจะร่วมกันปล้นประชาชนทางตะวันออก  
  เขาจะยื่นมือออกต่อสู้เอโดมและโมอับ  
 และคนอัมโมนจะเชื่อฟังเขาทั้งหลาย  
 15และพระเจ้าจะทรงทำลาย  
 ลิ้นของทะเลแห่งอียิปต์เสียทีเดียว  
  และจะทรงโบกพระหัตถ์เหนือแม่น้ำนั้น  
 ด้วยลมลวกของพระองค์  
  และจะโจมตีมันให้เป็นร่องน้ำเจ็ดสาย  
 และคนสวมรองเท้าจะเดินข้ามไปได้  
 16และจะมีถนนหลวงจากอัสซีเรีย  
 สำหรับคนที่เหลืออยู่จากชนชาติของพระองค์  
  ดั่งที่มีอยู่สำหรับอิสราเอล  
 ครั้งเมื่อเขาขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์


2 โครรินธ์ 12.11-21
11ข้าพเจ้าเป็นคนเขลาไปแล้วซี   ท่านบังคับข้าพเจ้าให้เป็น   เพราะว่าสมควรแล้วที่ท่านจะยกย่องข้าพเจ้า   เพราะว่า   ข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าอัครทูตชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นแต่ประการใดเลย   ถึงแม้ข้าพเจ้าจะไม่วิเศษอะไรเลยก็จริง 12แท้จริงลักษณะของอัครทูตก็ได้สำแดงให้ประจักษ์แจ้งในหมู่พวกท่านแล้ว   ด้วยความเพียร   โดยหมายสำคัญ   โดยการอัศจรรย์และโดยการอิทธิฤทธิ์ 13เพราะพวกท่านเสียเปรียบคริสตจักรอื่นๆในข้อใดเล่า   เว้นไว้ในข้อนี้   คือที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระแก่พวกท่าน   การผิดนั้นขอท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด  
 14นี่แน่ะ   ข้าพเจ้าเตรียมพร้อมที่จะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม   และข้าพเจ้าจะไม่เป็นภาระแก่พวกท่าน   เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดจากท่าน   แต่ต้องการตัวท่าน   เพราะว่าที่ลูกจะสะสมไว้สำหรับพ่อแม่   ก็ไม่สมควร   แต่พ่อแม่ควรสะสมไว้สำหรับลูก 15และข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะสละแรงหมดเพื่อท่านทั้งหลาย   เมื่อข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้นๆ   ท่านจะกลับรักข้าพเจ้าน้อยลงหรือ 16บางทีท่านยอมรับว่าข้าพเจ้าเองมิได้เป็นภาระแก่พวกท่าน   แต่ท่านก็พูดว่า   ข้าพเจ้าใช้กุศโลบายเอาเปรียบท่าน 17ข้าพเจ้าได้โกงอะไรจากพวกท่านในการที่ส่งคนเหล่านั้นไปเยี่ยมพวกท่านหรือ 18ข้าพเจ้าขอให้ทิตัสไป   และพี่น้องอีกคนหนึ่งไปด้วย   ทิตัสได้โกงจากพวกท่านบ้างหรือ   เราทั้งสองมิได้ดำเนินการด้วยน้ำใจอย่างเดียวกันหรือ   เรามิได้เดินตามรอยเดียวกันหรือ  
 19ท่านคงคิดอยู่ตลอดมาว่า   เราแก้ตัวกับท่าน   ที่จริงเราพูดในพระคริสต์ดังเราอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า   และท่านที่รัก   สิ่งสารพัดที่เราได้กระทำนั้น   เรากระทำเพื่อท่านจะจำเริญขึ้น 20เพราะว่าข้าพเจ้าเกรงว่า   เมื่อข้าพเจ้ามาถึง   ข้าพเจ้าอาจจะไม่เห็นพวกท่านเป็นเหมือนอย่างที่ข้าพเจ้าอยากเห็น   และท่านจะไม่เห็นข้าพเจ้าเหมือนอย่างที่ท่านอยากเห็น   คือเกรงว่าไม่เหตุใดก็เหตุหนึ่ง   จะมีการวิวาทกัน   ริษยากัน   โกรธกัน   มักใหญ่ใฝ่สูง   นินทากัน   ซุบซิบส่อเสียดกัน   จองหองพองตัวและเกะกะวุ่นวายกัน 21ข้าพเจ้าเกรงว่า   เมื่อข้าพเจ้ากลับมา   พระเจ้าจะทรงให้ข้าพเจ้าได้อายต่อหน้าท่าน   และข้าพเจ้าจะต้องเศร้าใจ   เพราะเหตุที่หลายคนได้ทำผิดมาก่อนแล้ว   และมิได้กลับใจทิ้งการโสโครก   การผิดประเวณี   และการลามก   ซึ่งเขาได้กระทำอยู่นั้น


สดุดี 56.1-13

1ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเมตตาข้าพระองค์   เพราะคนเหยียบย่ำข้าพระองค์  
 ชนคู่อริบีบบังคับข้าพระองค์วันยังค่ำ  
 2พวกศัตรูของข้าพระองค์เหยียบย่ำ   ข้าพระองค์วันยังค่ำ  
 เพราะหลายคนต่อสู้ข้าพระองค์อย่างทะนง  
 3เมื่อข้าพระองค์กลัว  
 ข้าพระองค์วางใจในพระองค์  
 4ในพระเจ้า   ผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญ   พระวจนะของพระองค์  
 ในพระเจ้า  ข้าพระองค์วางใจอย่างปราศจากความกลัว  
 เนื้อหนังจะกระทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้  
 5เขาประทุษร้ายต่อกิจการของข้าพระองค์วันยังค่ำ  
 ความคิดทั้งสิ้นของเขาล้วนมุ่งร้ายต่อข้าพระองค์  
 6เขาร่วมหัวกัน  เขาซุ่มอยู่  
 เขาเฝ้ารอยเท้าของข้าพระองค์  
 อย่างกับคนที่ซุ่มคอยเอาชีวิตข้าพระองค์  
 7ขอทรงทิ้งเขาเพราะความผิดของเขา  
 ข้าแต่พระเจ้า   ขอทรงเหวี่ยงชนชาติทั้งหลายลงมาด้วยพระพิโรธ  
 8พระองค์ทรงนับการระหกระเหินของข้าพระองค์  
 ทรงเก็บน้ำตาของข้าพระองค์ใส่ขวดของพระองค์ไว้  
 น้ำตานั้นไม่อยู่ในบัญชีของพระองค์หรือ  พระเจ้าค่ะ  
 9แล้วศัตรูของข้าพระองค์จะหันกลับ  
 ในวันที่ข้าพระองค์ร้องทูล  
 ข้าพระองค์ทราบเช่นนี้ว่า  พระเจ้าทรงสถิตฝ่ายข้าพระองค์  
 10ในพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญ   พระวจนะของพระองค์  
 ในพระเป็นเจ้า  ผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญ พระวจนะของพระองค์  
 11ในพระเจ้า  ข้าพระองค์วางใจอย่างปราศจากความกลัว  
 คนจะกระทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้  
 12ข้าแต่พระเจ้า  ที่ข้าพระองค์บนบานไว้นั้น ข้าพระองค์จะแก้  
 ข้าพระองค์จะถวายบูชาโมทนาพระคุณแก่พระองค์  
 13เพราะพระองค์ทรงช่วยกู้จิตวิญญาณของข้าพระองค์จาก มัจจุราช  
 พระองค์ทรงช่วยกู้เท้าของข้าพระองค์จากการล้มมิใช่หรือ  
 เพื่อข้าพระองค์จะดำเนินอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า  
 ในความสว่างแห่งชีวิต


สุภาษิต 23.6-8

 6อย่ากินอาหารของคนที่ตระหนี่  อย่าปรารถนาของโอชะของเขา  
 7เพราะเขาเป็นเหมือนคนที่คอยนับอยู่ข้างใน   เขาพูดกับเจ้าว่า  “จงกินและดื่มเถิด” แต่ใจของเขามิได้อยู่กับเจ้า  
 8เจ้าจะต้องสำรอกอาหารซึ่งเจ้าได้กินเข้าไปนั้นและเสียถ้อยคำแช่มชื่นของเจ้าเสียเปล่าๆ  

Saturday 11 September 2010

วันที่ 11 กันยายน

อิสยาห์ 8:1-9:21
2 โครินธ์12:1-10
สดุดี 55:1-23
สุภาษิต 23:4-5

อิสยาห์บทที่ 8

1แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า   “จงเอาแผ่นใหญ่สำหรับเขียนมาแผ่นหนึ่ง   และจงเขียนอักษรง่ายๆลงว่า   'มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส' ”(   แปลว่า  ของที่ถูกริบไปไว้   เหยื่อรีบเร่ง)  2และข้าพเจ้าได้พยานที่เชื่อถือได้  คือ   อุรีอาห์ปุโรหิตและเศคาริยาห์บุตรของเยเบเรคียาห์ ให้เป็นพยานเพื่อข้าพเจ้า 3และข้าพเจ้าได้เข้าไปหาหญิงผู้เผยพระวจนะ(  คือ   ภรรยาของท่านผู้เผยพระวจนะเอง) และเธอก็ตั้งครรภ์และ คลอดบุตรชายคนหนึ่ง   และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า   “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า  มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส 4เพราะก่อนที่เด็กจะร้องเรียก   “พ่อ  แม่”   ได้ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จาก สะมาเรียจะถูกขนเอาไปต่อพระพักตร์พระราชาอัสซีเรีย”  
 5แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า 6“เพราะว่าชนชาตินี้ได้ปฏิเสธน้ำแห่งชิโลอาห์ซึ่งไหลเอื่อยๆ   และปีติยินดีต่อเรซีนและโอรสของเรมาลิยาห์ 7เพราะฉะนั้น  ดูเถิด   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำ ยูเฟรติสมาสู้เขาทั้งหลาย   ที่มีกำลังและมากหลายคือพระราชา แห่งอัสซีเรียและพระสิริของพระองค์   และน้ำนั้นจะไหลล้นห้วยทั้งสิ้นของมัน   และท่วมฝั่งทั้งสิ้นของมัน 8และจะกวาดต่อไปเข้าในยูดาห์   และจะไหลท่วมและผ่านไปแม้จนถึงคอ   และปีกอันแผ่กว้างของมันจะเต็มแผ่นดินของท่านนะ   ท่านอิมมานูเอล”  
 9ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย   จงรู้และจงคร้ามกลัว  
 บรรดาประเทศไกลๆทั้งหมดเจ้าเอ๋ย  
จงเงี่ยหู  
  จงคาดเอวเจ้าไว้และจงคร้ามกลัว  
 จงคาดเอวเจ้าไว้และจงคร้ามกลัว  
 10จงปรึกษากันเถิด  แต่ก็จะไร้ผล  
 จงพูดกันเถิด  แต่ก็จะไม่สำเร็จผล  
  เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเรา 11เพราะว่าพระเจ้าตรัสดังต่อไปนี้กับข้าพเจ้า   พร้อมด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็ง   และทรงตักเตือนข้าพเจ้ามิให้ดำเนินในทางของชนชาตินี้   พระองค์ตรัสว่า 12“สิ่งที่ชนชาตินี้เรียกว่า   การร่วมคิดกบฏ  เจ้าอย่าเรียกว่าการร่วมคิดกบฏเสียหมด   อย่ากลัวสิ่งที่เขากลัวหรืออย่าครั่นคร้าม 13แต่พระเจ้าจอมโยธานั้นแหละ   เจ้าต้องว่าพระองค์ศักดิ์สิทธิ์   จงให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เจ้ายำเกรง   จงให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เจ้าครั่นคร้าม 14แล้วพระองค์จะเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์   แต่เป็นหินกระทบเท้า   และเป็นศิลาอันเป็นที่สะดุดของเชื้อสายทั้งคู่ของอิสราเอล   เป็นกับและเป็นบ่วงดักชาวเยรูซาเล็ม 15และคนเป็นอันมากจะสะดุดหินนั้น   เขาทั้งหลายจะล้มลงและแตกหัก   เขาจะติดบ่วงและถูกจับไป”  
 16จงมัดถ้อยคำพยานเก็บไว้เสีย   และจงตีตราพระโอวาทไว้ในหมู่พวกสาวกของข้าพเจ้าเสีย 17ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้า   ผู้ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเชื้อสายของยาโคบ   และข้าพเจ้าจะหวังใจอยู่ที่พระองค์ 18ดูเถิด   ข้าพเจ้าและบุตรผู้ซึ่งพระเจ้าทรงประทาน แก่ข้าพเจ้าเป็น หมายสำคัญและเป็นลางในอิสราเอลจากพระเจ้าจอมโยธา   ผู้ทรงประทับบนภูเขาศิโยน 19และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่พวกท่านว่า   “จงปรึกษากับคนทรงและพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียง จ้อกแจ้กและเสียงพึมพำ”   ไม่ควรที่ประชาชนจะปรึกษากับพระเจ้าของเขาหรือ   ควรเขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็นหรือ 20ไปค้นพระโอวาทและถ้อยคำพยาน   ดูเถิด   แน่นอนทีเดียวคนที่ไปพูดเช่นนี้ ก็เป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเสียเลย 21เขาทั้งหลายจะผ่านแผ่นดินไปด้วย ความระทมใจอันยิ่งใหญ่และด้วยความหิว   และเมื่อเขาหิวเขาจะเกรี้ยวกราด และแช่งด่าพระราชาของเขาและพระเจ้าของเขา   และแม้เขาจะแหงนหน้าขึ้นข้างบน 22หรือจะมองดูที่แผ่นดินโลก   แต่ดูเถิด  ความทุกข์ใจและความมืด   ความกลุ้มแห่งความแสนระทม   และเขาจะถูกผลักไสเข้าไปในความมืดทึบ
บทที่ 9

1เมืองนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม   ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้น นัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น   แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล   แคว้นฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน  คือ   กาลิลี(หรือ   แขวง) แห่งบรรดาประชาชาติให้รุ่งโรจน์  
 2ชนชาติที่ดำเนินในความมืด  
 จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่  
  บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน   แห่งเงามัจจุราช  
 สว่างจะได้ส่องมาบนเขา  
 3พระองค์จะได้ทรงทวีชนในประชาชาตินั้นขึ้น  
 พระองค์จะทรงเพิ่มความชื่นบานของเขา  
  เขาทั้งหลายจะเปรมปรีดิ์ต่อพระพักตร์พระองค์  
 ดั่งด้วยความชื่นบานเมื่อฤดูเกี่ยวเก็บ  
 ดั่งคนเปรมปรีดิ์เมื่อเขาแบ่งของริบมานั้นแก่กัน  
 4เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของเขาก็ดี  
 ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี  
 ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี  
 พระองค์จะทรงหักเสียอย่างในวันของคนมีเดียน  
 5เพราะรองเท้าทุกคู่ที่กระทืบไป   อย่างสั่นสะเทือน  
 และเสื้อคลุมทุกตัวที่เกลือกอยู่ในโลหิต  
 จะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงใส่ไฟ  
 6ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา  
 มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา  
  และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน  
 และท่านจะเรียกนามของท่านว่า  
  “ที่ปรึกษามหัศจรรย์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  
 พระบิดานิรันดร์  องค์สันติราช”  
 7เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น  
 และสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุด  
  เหนือพระที่นั่งของดาวิด   และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์  
 ที่จะสถาปนาไว้  และเชิดชูไว้  
  ด้วยความยุติธรรมและด้วยความชอบธรรม  
 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล  
  ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้  
 8องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้พระวจนะไปต่อสู้ยาโคบ  
 และจะตกอยู่เหนืออิสราเอล  
 9และประชาชนทั้งสิ้นจะรู้เรื่อง  
 คือเอฟราอิมและชาวสะมาเรีย  
 ผู้กล่าวด้วยความเย่อหยิ่งและด้วยจิตใจจองหอง  
 10ว่า  “ก้อนอิฐพังลงแล้ว  
 แต่เราจะสร้างด้วยศิลาสลัก  
  ต้นมะเดื่อถูกโค่นลง  
 แต่เราจะใส่ต้นสีดาร์เข้าแทนไว้ในที่นั้น”  
 11พระเจ้าจึงทรงหนุนปฏิปักษ์ของเรซีน
มาสู้เขา  
 และทรงกระตุ้นศัตรูของเขา  
 12คือคนซีเรียทางตะวันออกและคนฟีลิสเตียทางตะวันตก  
 และเขาจะอ้าปากออกกลืนอิสราเอลเสีย  
  ถึงกระนั้นก็ดี   พระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ  
 และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่  
 13ประชาชนมิได้หันมาหาพระองค์ผู้ทรงตีเขา  
 มิได้แสวงหาพระเจ้าจอมโยธา  
 14พระเจ้าจึงทรงตัดหัวตัดหางออกเสียจากอิสราเอล  
 ทั้งใบตาลและต้นอ้อเล็กในวันเดียว  
 15ผู้ใหญ่และคนมีเกียรติคือหัว  
 และผู้เผยพระวจนะผู้สอนเท็จเป็นหาง  
 16เพราะบรรดาผู้ที่นำชนชาตินี้ได้นำเขาให้หลง  
 และบรรดาผู้ที่เขานำก็ถูกกลืนไป  
 17ฉะนั้น  พระผู้เป็นเจ้าหาทรงเปรมปรีดิ์   ในคนหนุ่มของเขาไม่  
  และมิได้ทรงมีพระกรุณาต่อคนกำพร้าพ่อ หรือหญิงม่ายของเขา  
  เพราะว่าทุกคนก็ไร้พระเจ้าและเป็นคนทำความชั่ว  
 และปากทุกปากก็กล่าวคำโฉดเขลา  
  ถึงกระนั้นก็ดี  พระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ  
 และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่  
 18เพราะความอธรรมก็ไหม้เหมือนไฟไหม้  
 มันผลาญทั้งหนามย่อยและหนามใหญ่  
  มันจุดไฟเข้าที่ป่าทึบ  
 และป่าทึบก็ม้วนขึ้นข้างบนเหมือนควันเป็นลูกๆ  
 19แผ่นดินนั้นถูกเผา  
 โดยเหตุพระพิโรธของพระเจ้าจอมโยธา  
  ประชาชนก็เหมือนเชื้อเพลิง  
 ไม่มีคนใดไว้ชีวิตพี่น้องของตน  
 20เขาฉวยได้ทางขวา  แต่ยังหิวอยู่  
 เขากินทางซ้ายแต่ก็ยังไม่อิ่ม  
  ต่างก็กินเนื้อพี่น้องของตนเอง  
 21มนัสเสห์กินเอฟราอิม   เอฟราอิมกินมนัสเสห์  
 และทั้งคู่ก็สู้กับยูดาห์  
  ถึงกระนั้นก็ดี   พระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ  
 และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่


2โครินธ์ 12.1-10

1ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด   ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร   แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป   ถึงนิมิตและการสำแดงซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 2ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว   เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม   (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้   พระเจ้าทรงทราบ) 3ข้าพเจ้าทราบ   (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้   พระเจ้าทรงทราบ)   ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม 4และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้   และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม 5สำหรับชายคนนั้นข้าพเจ้าอวดได้   แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง   ข้าพเจ้าจะไม่อวดเลย   นอกจากจะอวดถึงเรื่องการอ่อนแอของข้าพเจ้า 6เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะอวดข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเขลา   เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง   แต่ข้าพเจ้าระงับไว้   ก็เพราะเกรงว่า   บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาได้รู้จากการเห็นและฟังข้าพเจ้า 7และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป   เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น   ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า   หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป 8เรื่องหนามใหญ่นั้น   ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง   เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า   “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว   เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน   เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น”   เหตุฉะนั้น   ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์   ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก   ในการถูกข่มเหง   ในความอับจน   เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด   ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น

สดุดี 55

1ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเงี่ยพระกรรณ   ฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์  
 ขออย่าซ่อนพระองค์เสียจากคำวิงวอนของข้าพระองค์  
 2ขอทรงสดับ  และขอทรงตอบข้าพระองค์  
 ข้าพระองค์ยอมแพ้ความทุกข์ยากลำบากแล้ว  
 3ข้าพระองค์บ้าไปเพราะเสียงของศัตรู  
 เพราะการบีบบังคับของคนอธรรม  
 เหตุว่าเขานำความทุกข์ยากลำบากมาให้ข้าพระองค์  
 และเขาบ่มความเกลียดชังข้าพระองค์โดยความโกรธ  
 4จิตใจของข้าพระองค์ระทมอยู่ในข้าพระองค์  
 ความสยดสยองของมัจจุราชตกเหนือข้าพระองค์  
 5ความกลัวและความสะทกสะท้านมาเหนือข้าพระองค์  
 ความหวาดเสียวท่วมข้าพระองค์  
 6และข้าพระองค์ว่า  “โอ  ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบ  
 จะได้บินหนีไปและอยู่สงบ  
 7เออ  ข้าจะได้พเนจรไปไกล  
 ข้าจะได้พักอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  
 8ข้าจะได้รีบไปหาที่กำบัง  
 จากลมดุเดือดและพายุ”  
 9ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ขอทรงทำลายเสีย   และให้ภาษาของเขายุ่งเหยิงไป  
 เพราะข้าพระองค์เห็นความทารุณ และการโกลาหลที่ในนคร  
 10เขาเดินบนกำแพงรอบนครอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน  
 และความบาปผิดกับความทุกข์ยากลำบากอยู่ภายในนคร  
 11การทำลายมีอยู่ท่ามกลางเธอ  
 การบีบบังคับและการฉ้อโกง  
 ไม่พรากไปจากตลาดของเธอ  
 12มิใช่ศัตรูผู้เยาะเย้ยข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าจะได้ทนได้  
 มิใช่ผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้าผู้พองตัวใส่ข้าพเจ้า  
 ข้าพเจ้าจะได้หลบเขาได้  
 13แต่เป็นท่าน  เสมอบ่าเสมอไหล่กับข้าพเจ้า  
 เป็นเกลอของข้าพเจ้า  เป็นมิตรรู้จักมักคุ้นกับข้าพเจ้า  
 14เราเคยสนทนาปราศรัยกันอย่างชื่นใจ  
 เราดำเนินในพระนิเวศของพระเจ้าฉันมิตรสนิท  
 15ขอมัจจุราชมาหาเขาเหล่านั้น  
 ให้เขาลงไปยังแดนผู้ตายทั้งเป็น  
 เพราะความโหดร้ายอยู่ในบ้านของเขาและอยู่ในใจของเขา  
 16ฝ่ายข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า  
 และพระเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด  
 17ทั้งเวลาเช้า  เวลาเย็น  และเวลาเที่ยง  
 ข้าพเจ้าร้องทุกข์และคร่ำครวญ  
 และพระองค์จะทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า  
 18พระองค์จะทรงช่วยกู้จิตวิญญาณของข้าพเจ้า  
 ให้ปลอดภัยจากสงครามที่ข้าพเจ้าต่อสู้อยู่  
 เพราะคนเป็นอันมากตั้งแถวสู้ข้าพเจ้า  
 19พระเจ้าจะทรงสดับฟังและลดเขาลง  
 คือพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์ตั้งแต่โบราณกาล  
 เพราะเขาไม่เปลี่ยน และไม่ยำเกรงพระเจ้า  
 20เกลอของข้าพเจ้ายื่นมือของเขาออกต่อสู้เพื่อนของเขา  
 เขาฝ่าฝืนพันธสัญญาของเขา  
 21คำพูดของเขาเรียบลื่นยิ่งกว่าเนย  
 แต่สงครามอยู่ภายในใจของเขา  
 ถ้อยคำของเขาอ่อนนุ่มยิ่งกว่าน้ำมัน  
 แต่ทว่าเป็นดาบที่ชักออกมาแล้ว  
 22จงมอบภาระของท่านไว้กับพระเจ้า  
  และพระองค์จะทรงค้ำจุนท่าน  
  พระองค์จะไม่ทรงยอมให้  
  คนชอบธรรมคลอนแคลนเลย  
 23ข้าแต่พระเจ้า  แต่พระองค์จะทรง
เหวี่ยงเขาลงสู่ปากแดนพินาศ  
  คนที่ทำให้โลหิตตกและคนทรยศ  
  จะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งจำนวนเวลาของเขา  
แต่ข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์

สุภาษิต 23.4-5

 4อย่าทำงานเพื่อเห็นแก่ทรัพย์ศฤงคาร  
  จงฉลาดพอที่จะยับยั้งไว้  
 5เจ้าจะเพ่งตาของเจ้าอยู่ที่ของอนิจจังหรือ  
  เพราะทรัพย์สมบัติมีปีกแน่นอนทีเดียว  
  มันจะบินไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี