Monday 13 September 2010

วันที่ 13 กันยายน

อิสยาห์ 12:1-14:32


1ในวันนั้น  ท่านจะกล่าวว่า  
  “ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์จะโมทนาพระคุณพระองค์  
  เพราะแม้พระองค์ทรงพระพิโรธต่อข้าพระองค์  
  ความกริ้วของพระองค์ก็หันกลับไป  
  และพระองค์ทรงเล้าโลมข้าพระองค์  
 2“ดูเถิด  พระเจ้าเป็นความรอดของข้าพเจ้า  
  ข้าพเจ้าจะวางใจและไม่กลัว  
  เพราะพระเจ้าทรงเป็นกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า  
  และพระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า แล้ว”  
 
 3เจ้าจะโพงน้ำด้วยความชื่นบาน   จากบ่อแห่งความรอด 4และในวันนั้น   เจ้าจะกล่าวว่า  
  “จงโมทนาพระคุณพระเจ้า  
  จงร้องทูลออกพระนามของพระองค์  
  จงประกาศบรรดาพระราชกิจของพระองค์ ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย  
  จงป่าวร้องว่าพระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู  
 5“จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  
 เพราะพระองค์ทรงกระทำกิจอันดีเลิศ  
  ให้เรื่องนี้รู้กันทั่วไปในแผ่นดินโลก  
 6ชาวศิโยนเอ๋ย  จงโห่ร้องและร้องเพลงด้วยความชื่นบาน  
  เพราะองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลนั้น   ก็ใหญ่ยิ่งอยู่ในหมู่พวกเจ้า


บทที่ 13

1ครุวาทเกี่ยวกับบาบิโลน   ตามซึ่งอิสยาห์บุตรชายของอามอสได้เห็น  
 2จงชูอาณัติสัญญาขึ้นบนภูเขาหัวโล้น  
  จงร้องเรียกเขาทั้งหลาย  
  จงโบกมือให้เขาเข้าไป  
  ในประตูเมืองของเจ้านาย  
 3ตัวเราเองได้บัญชาแก่ผู้ที่เลือกสรรของเราได้เกณฑ์ ชายฉกรรจ์ของเรา  
  ให้จัดการตามความโกรธของเรา  
  คือผู้ที่เต้นโลดอย่างภูมิใจของเรา  
 4ฟังซิ  เสียงอึงอลบนภูเขา  
  ดั่งเสียงมวลชนมหึมา  
  ฟังซี  เสียงอึงคะนึงของราชอาณาจักรทั้งหลาย  
  ของบรรดาประชาชาติที่รวมเข้าด้วยกัน  
  พระเจ้าจอมโยธากำลังระดม  
  พลเพื่อสงคราม  
 5เขาทั้งหลายมาจากแผ่นดินอันไกล  
  จากสุดปลายฟ้าสวรรค์  
  พระเจ้าและอาวุธแห่งพระพิโรธของพระองค์  
  เพื่อจะทำลายแผ่นดินโลก(  หรือ   แผ่นดิน) ทั้งสิ้น  
 6จงพิลาปร่ำไห้ซิ   เพราะวันแห่งพระเจ้ามาใกล้แล้ว  
  วันนั้นจะมา  เป็นการทำลาย   จากองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  
 7เพราะฉะนั้น  ทุกๆมือก็จะอ่อนเปลี้ย  
  และจิตใจของทุกคนก็จะละลายไป  
 8และเขาทั้งหลายจะตกใจกลัว  
  ความเจ็บและความปวดจะเกาะเขา  
  เขาจะทุรนทุรายดั่งหญิงกำลังคลอดบุตร  
  เขาจะมองตากันอย่างตกตะลึง  
  หน้าของเขาแดงเป็นแสงไฟ  
 9ดูเถิด  วันของพระเจ้าจะมา  
  ดุร้ายด้วยความพิโรธและความโกรธอันเกรี้ยวกราด  
  ที่จะกระทำให้แผ่นดินโลก(หรือ   แผ่นดิน) เป็นที่ร้างเปล่า  
  และเพื่อจะทำลายคนบาปของโลกเสียจากโลก  
 10เพราะดวงดาวแห่งฟ้าสวรรค์  และหมู่ดาวในนั้น  
  จะไม่ทอแสงของมัน  
  ดวงอาทิตย์ก็จะมืดเมื่อเวลาขึ้น  
  และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสงของ มัน  
 11เราจะลงโทษโลกเพราะความชั่วร้าย  
  และคนอธรรมเพราะความบาปผิด
ของเขา  
  เราจะกระทำให้ความเย่อหยิ่งของคนจองหองสิ้นสุด  
  และปราบความยโสของคนโหดร้าย  
 12เราจะกระทำให้หาคนยากเสียยิ่งกว่าหาทองคำนพคุณ  
  และหามนุษย์ได้ยากยิ่งกว่าหาทองคำแห่งโอฟีร์  
 13เพราะฉะนั้น  เราจะกระทำให้ฟ้าสวรรค์สั่นสะเทือน  
  และแผ่นดินโลกจะสะท้านพลัดจากที่ของมัน  
  โดยพระพิโรธของพระเจ้าจอมโยธา  
  ในวันแห่งความโกรธอันเกรี้ยวกราดของพระองค์   3:7  
 14คนทุกคนจะหันเข้าสู่ชนชาติของตนเอง  
  และคนทุกคนจะหนีไปยังแผ่นดินของตนเอง  
  ดั่งละมั่งที่ถูกล่า  
  หรือเหมือนแกะที่ไม่มีผู้รวมฝูง  
 15ถ้าเขาพบใครเข้าก็จะถูกแทงทะลุ  
  และถ้าใครถูกจับก็จะล้มลงด้วยดาบ  
 16ทารกของเขาจะถูกฟาดลงอย่างยับเยิน  
  ต่อหน้าต่อตาเขา  
  เรือนของเขาจะถูกปล้น  
  และภรรยาของเขาจะถูกขืนใจ  
 17ดูเถิด  เรากำลังรบเร้าให้ชาวมีเดีย
มาสู้เขา  
  ผู้ซึ่งไม่เอาใจใส่ในเรื่องเงิน  
  และไม่ไยดีในเรื่องทองคำ  
 18คันธนูของเขาจะสังหารชายหนุ่ม  
  เขาจะไม่ปรานีต่อผลของครรภ์  
  นัยน์ตาของเขาจะไม่สงสารเด็ก  
 19และบาบิโลน  ซึ่งโอ่อ่าในบรรดาราชอาณาจักร  
  เมืองที่สง่าและเป็นที่ภูมิใจของชาวเคลเดีย  
  จะเป็นดังเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์  
  เมื่อพระเจ้าทรงคว่ำมันเสียนั้น  
 20จะไม่มีใครเข้าอยู่ในบาบิโลน  
  หรืออาศัยอยู่ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์  
  คนอาหรับจะไม่กางเต็นท์ของเขาที่นั่น  
  ไม่มีผู้เลี้ยงแกะที่จะให้แกะของเขานอนลงที่นั่น  
 21แต่สัตว์ป่าจะนอนลงที่นั่น  
  และบ้านเรือนในนั้นจะเต็มไปด้วยนกทึดทือ  
  นกกระจอกเทศจะอาศัยที่นั่น  
  เมษปีศาจจะเต้นรำอยู่ที่นั่น  
 22หมาจิ้งจอกจะเห่าหอนอยู่ในป้อมปราสาทของเมืองนั้น  
  และหมาป่าจะอยู่ในวังแสนสุข  
  เวลาของเมืองนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว  
  และวันเวลาของมันจะไม่ยืดให้ยาวไป


บทที่ 14

1พระเจ้าจะทรงมีเมตตาต่อยาโคบและจะ ทรงเลือกอิสราเอลอีก   และจะตั้งเขาทั้งหลายไว้ในแผ่นดินของเขา   คนต่างด้าวจะสมทบกับเขา   และติดพันอยู่กับเชื้อสายของยาโคบ 2และชนชาติทั้งหลายจะรับเขาและนำเขา ทั้งหลายมายังที่ของเขา   และเชื้อสายของอิสราเอลจะมีกรรมสิทธิ์ ในเขาเป็นทาสชายหญิงในแผ่นดินของพระเจ้า   ผู้ที่จับเขาเป็นเชลยจะถูกเขาจับเป็นเชลย   และจะปกครองผู้ที่เคยบีบบังคับเขา  
 3เมื่อพระเจ้าประทานให้เจ้าได้หยุดพักจาก ความเจ็บปวดของเจ้า   และจากความวุ่นวายและจากงานหนักซึ่งเจ้า ถูกบังคับให้กระทำ 4เจ้าจะยกคำเย้ยหยันนี้กล่าวต่อพระราชาแห่งบาบิโลนว่า  
  “เออ  ผู้บีบบังคับก็สงบไปแล้วหนอ  
  ความทะลึ่งเกรี้ยวกราดของเขาก็สงบไปด้วยซิ  
 5พระเจ้าทรงหักไม้พลองของคนอธรรม  
  คทาของผู้ครอบครอง  
 6ซึ่งตีชนชาติทั้งหลายด้วยความพิโรธ  
  ด้วยการตีอย่างไม่หยุดยั้ง  
  ซึ่งได้ครอบครองประชาชาติด้วย
ความโกรธ  
  ด้วยการข่มเหงอย่างที่ไม่อ่อนข้อ  
 7โลกทั้งสิ้นก็พักและสงบอยู่  
  เขาทั้งหลายร้องเพลงโพล่งออกมา  
 8ต้นสนสามใบเปรมปรีดิ์เพราะเจ้า  
  ต้นสนสีดาร์แห่งเลบานอนด้วยและกล่าวว่า  
  'ตั้งแต่เจ้าตกต่ำ  
  ก็ไม่มีผู้โค่นขึ้นมาต่อสู้เราแล้ว'  
 9แดนคนตายเบื้องล่างก็ตื่นเต้น  
  เพื่อต้อนรับเจ้าเมื่อเจ้ามา  
  มันปลุกให้ชาวแดนมาต้อนรับเจ้า  
  คือผู้ซึ่งเคยเป็นผู้นำของโลก  
  มันทำให้บรรดาผู้ที่เคยเป็นพระราชา   แห่งประชาชาติทั้งหลาย  
  ลุกขึ้นมาจากพระที่นั่งของเขา  
 10ทุกตนจะพูด  และกล่าวแก่เจ้าว่า  
  'เจ้าก็อ่อนเปลี้ยอย่างเราด้วย  
  เจ้ากลายเป็นอย่างพวกเรา'  
 11ความโอ่อ่าของเจ้าถูกนำลงมาถึงแดนคนตาย  
  และเสียงพิณของเจ้า  
  ตัวหนอนจะเป็นที่นอนอยู่ใต้ตัวเจ้า  
  และตัวหนอนจะเป็นผ้าห่มของเจ้า  
 12“โอ  ดาวประจำกลางวันเอ๋ย  พ่อโอรสแห่งพระอรุณ  
  เจ้าร่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วซิ  
  เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ  
  เจ้าผู้กระทำให้บรรดาประชาชาติ
ตกต่ำน่ะ  
 13เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า  
  'ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์  
  เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า  
  ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น  
  ข้าจะนั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน(คือ   สถานเทพชุมนุม)  
  ณ ที่อุดรไกล  
 14ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ  
  ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด'  
 15แต่เจ้าถูกนำลงมาสู่แดนคนตาย  
  ยังที่ลึกของปากแดน  
 16บรรดาผู้ที่เห็นเจ้าจะเพ่งดูเจ้า  
  และจะพิจารณาเจ้าว่า  
  'ชายคนนี้หรือที่ทำให้โลกสั่นสะเทือน  
  ผู้เขย่าราชอาณาจักรทั้งหลาย  
 17ผู้ที่ได้กระทำให้โลกเป็นเหมือนถิ่นทุรกันดาร  
  และคว่ำหัวเมืองของโลกเสีย  
  ผู้ไม่ยอมให้เชลยกลับไปบ้านของเขา'  
 18พระราชาทั้งสิ้นของบรรดาประชาชาตินอนอยู่อย่างมีเกียรติ  
  ต่างก็อยู่ในอุโมงค์ของตน  
 19แต่เจ้าถูกเหวี่ยงออกไป  ห่างจากหลุมศพของเจ้า  
  เป็นศพที่น่าเกลียด  
  สวมเสื้อของผู้ที่ถูกฆ่า  คือที่ถูกแทง
ด้วยดาบ  
  ซึ่งลงไปยังศิลาของหลุมศพ  
  เป็นศพที่ถูกเหยียบย่ำ  
 20เจ้าจะไม่ได้รับการฝังศพร่วมกับเขา  
  เพราะเจ้าได้ทำลายแผ่นดินของเจ้า  
  เจ้าได้สังหารประชาชนของเจ้า  
  “ขออย่าให้ใครเอ่ยถึงชื่อของเชื้อวงศ์   แห่งผู้กระทำความชั่วอีกเลย  
 21จงเตรียมสังหารลูกๆของเขาเถิด  
  เพราะกรรมชั่วแห่งบิดาของเขา  
  เกรงว่าเขาทั้งหลายจะลุกขึ้นเป็นเจ้า
ของโลก  
  และกระทำให้พื้นโลกเต็มไปด้วยหัวเมือง”  
 22พระเจ้าจอมโยธา  ตรัสว่า   “เราจะลุกขึ้นสู้กับเขา   และจะตัดชื่อกับคนที่เหลืออยู่เสียจากบาบิโลน   และตัดลูกหลานและพงศ์พันธุ์เสีย”   พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 23“และเราจะกระทำให้เป็นกรรมสิทธิ์ของอีกาบ้าน   และเป็นสระน้ำ   และจะกวาดด้วยไม้กวาดแห่งการทำลาย”   พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ  
 24พระเจ้าจอมโยธาได้ทรงปฏิญาณว่า  
  'เรากะแผนงานไว้อย่างไร  
  ก็จะเป็นไปอย่างนั้น  
  และเราได้มุ่งหมายไว้อย่างไร  
  ก็จะเกิดขึ้นอย่างนั้น  
 25คือว่าเราจะตีคนอัสซีเรียในแผ่นดินของเราให้ย่อยยับไป  
  และบนภูเขาของเรา  เหยียบย่ำเขาไว้  
  และแอกของเขานั้นจะพรากไปจากเขาทั้งหลาย  
  และภาระของเขานั้นจากบ่าของเขาทั้งหลาย”  
 26นี่เป็นความมุ่งหมายที่มุ่งหมายไว้  
  เกี่ยวกับแผ่นดินโลกทั้งสิ้น  
  และนี่เป็นพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออก  
  เหนือบรรดาประชาชาติทั้งสิ้น  
 27เพราะพระเจ้าจอมโยธาทรงมุ่งไว้แล้ว  
  ผู้ใดเล่าจะลบล้างเสียได้  
  พระหัตถ์ของพระเจ้าทรงเหยียดออก  
  และผู้ใดจะหันให้กลับได้ 28ในปีที่กษัตริย์อาหัสสิ้นพระชนม์   ครุวาทนี้มีมาว่า  
 29“ประเทศฟีลิสเตียเอ๋ย   เจ้าทุกคนอย่าเปรมปรีดิ์ไปเลย  
  ว่าตะบองซึ่งตีเจ้านั้นหักเสียแล้ว  
  เพราะงูทับทางจะออกมาจากรากเง่าของงู  
  และผลของมันจะเป็นงูแมวเซา  
 30และลูกหัวปีของคนยากจนจะมีอาหารกิน  
  และคนขัดสนจะนอนลงอย่างปลอดภัย  
  แต่เราจะฆ่ารากเง่าของเจ้าด้วยการกันดารอาหาร  
  และคนที่เหลืออยู่ของเจ้าจะถูกสังหารเสีย  
 31ประตูเมืองเอ๋ย  พิลาปร่ำไห้ซิ  
กรุงเอ๋ย   จงร้องไห้  
  ประเทศฟีลิสเตียเอ๋ย  เจ้าทุกคนจงละลายเสียในความกลัว  
  เพราะควันออกมาจากอุดร  
  และไม่มีคนล้าหลังในแถวของเขาเลย”  
 32จะตอบทูตของประชาชาตินั้นว่าอย่างไร  
  ก็ว่า  “พระเจ้าได้ทรงสถาปนาศิโยน  
  และผู้ถูกข่มใจในชนชาติของพระองค์  
  ได้พบที่ลี้ภัยในที่นั้น”






2 โครินธ์13:1-14



1ครั้งนี้   จะเป็นครั้งที่สามที่ข้าพเจ้ามาเยี่ยมพวกท่าน   ข้อกล่าวหาใดๆ   ต้องมีพยานสองสามปากจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้ 2ข้าพเจ้าได้เตือนท่านที่ทำบาปมาแล้วและบรรดาคนอื่นๆด้วย   และบัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านอีก   เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับท่านเหมือนกับเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านในครั้งที่สองนั้นว่า   ถ้าข้าพเจ้ามาอีกข้าพเจ้าจะไม่เว้นการติโทษคนเหล่านี้เลย 3เพราะว่าท่านทั้งหลายต้องการที่จะเห็นหลักฐานว่าพระคริสต์ตรัสทางข้าพเจ้า   พระคริสต์มิได้ทรงอ่อนต่อท่าน   แต่ทรงฤทธิ์มากในหมู่พวกท่าน 4เพราะถึงแม้ว่าพระองค์ทรงถูกตรึงเพราะทรงอ่อน   พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า   เพราะว่าเราก็อ่อนด้วยกันกับพระองค์   แต่เรามีชีวิตเป็นอยู่กับพระองค์เพราะฤทธิ์เดชของพระเจ้า  
 5ท่านจงพิจารณาดูตัวของท่านว่าท่านตั้งอยู่ในความเชื่อหรือไม่   จงชันสูตรตัวของท่านเองเถิด   ท่านไม่สำนึกหรือว่า   พระเยซูคริสต์ทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย   นอกจากท่านจะแพ้การชันสูตร 6ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงรู้ว่าเรามิได้เป็นคนที่แพ้การชันสูตร 7เราอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อท่านทั้งหลายจะไม่กระทำชั่วใดๆ   มิใช่ว่าเราจะให้ปรากฏว่าเราชนะการชันสูตร   แต่เพื่อท่านจะประพฤติเป็นที่ชอบ   ถึงแม้จะดูเหมือนเราเองแพ้การชันสูตร 8เพราะว่าเราจะกระทำสิ่งใดขัดกับความจริงไม่ได้   ได้แต่ทำเพื่อความจริงเท่านั้น 9เพราะว่าเมื่อเราอ่อนแอ   และท่านเข้มแข็ง   เราก็ยินดี   เราอธิษฐานขอสิ่งนี้ด้วย   คือขอให้ท่านทั้งหลายบรรลุถึงความบริบูรณ์ในพระคริสต์ 10ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย   เพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาแล้วจะได้ไม่ต้องกวดขันท่าน   โดยใช้อำนาจซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดประทานให้แก่ข้าพเจ้า   เพื่อการก่อขึ้น   มิใช่เพื่อการทำลายลง  
 11ในที่สุดนี้พี่น้องทั้งหลาย   ขอลาก่อน   ท่านจงปรับปรุงตัวให้ดี   จงฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้า   จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน   จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ   และพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะทรงสถิตอยู่กับท่าน 12จงทักทายปราศรัยกันด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์ 13ธรรมิกชนทุกคนฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย  
 14ขอให้พระคุณของพระเยซูคริสตเจ้า   ความรักแห่งพระเจ้า   และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์   จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด





สดุดี 57:1-11



1 ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์   ขอทรงพระกรุณาต่อข้าพระองค์  
 เพราะจิตวิญญาณของข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ในพระองค์  
  ข้าพระองค์ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์  
 จนกว่าภัยอันตรายจะผ่านพ้นไป  
 2ข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้าองค์ผู้สูงสุด  
 ต่อพระเจ้าผู้ทรงกระทำการให้สำเร็จเพื่อข้าพเจ้า  
 3พระองค์จะทรงใช้มาจากฟ้าสวรรค์และช่วยข้าพเจ้าให้รอด  
 พระองค์จะทรงให้ผู้เหยียบย่ำข้าพเจ้าได้อาย  
 พระเจ้าจะทรงใช้ความรักมั่นคงและความสัตย์สุจริตลงมา  
 4ข้าพเจ้าอยู่ท่ามกลางเหล่าสีหราช  
 ข้าพเจ้านอนท่ามกลางผู้ที่ไฟติดตัวคือบุตรของมนุษย์  
 ฟันของเขาทั้งหลายคือหอกและลูกธนู  
 ลิ้นของเขาคือดาบคม  
 5ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเป็นที่ยกย่อง   เหนือฟ้าสวรรค์  
 ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วแผ่นดินโลก  
 6เขาทั้งหลายวางตาข่ายดักเท้าข้าพเจ้า  
 จิตใจของข้าพเจ้าได้ค้อมลง  
 เขาขุดบ่อไว้ในทางข้าพเจ้า  
 แต่เขาก็ตกลงไปเสียเอง  
 7ข้าแต่พระเจ้า  จิตใจของข้าพระองค์มั่นคง  
 จิตใจของข้าพระองค์มั่นคง  
 ข้าพระองค์จะร้องเพลง   ข้าพระองค์จะร้องเพลงสดุดี  
 8จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย  จงตื่นเถิด  
 พิณใหญ่และพิณเขาคู่เอ๋ย  จงตื่นเถิด  
 ข้าพเจ้าจะปลุกอรุณ  
 9ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า   ข้าพระองค์จะถวายโมทนาพระคุณพระองค์   ท่ามกลางประชาชาติ  
 ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญ   พระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย  
 10เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์  
 ความสัตย์สุจริตของพระองค์สูงถึงเมฆ  
 11ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเป็นที่เชิดชูเหนือฟ้าสวรรค์  
 ขอพระสิริของพระองค์อยู่ทั่วแผ่นดินโลก







สุภาษิต 23:9-11


 9อย่าพูดให้คนโง่ได้ยิน เพราะเขาจะดูหมิ่นปัญญาแห่งถ้อยคำของเจ้า  
 10อย่าโยกย้ายเสาเขตเก่าแก่   หรือเข้าไปในไร่นาของคนกำพร้า  
 11เพราะพระผู้ไถ่ของเขาแข็งแรง  พระองค์จะว่าคดีของเขาต่อสู้เจ้า  

No comments:

Post a Comment