Saturday 11 September 2010

วันที่ 11 กันยายน

อิสยาห์ 8:1-9:21
2 โครินธ์12:1-10
สดุดี 55:1-23
สุภาษิต 23:4-5

อิสยาห์บทที่ 8

1แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า   “จงเอาแผ่นใหญ่สำหรับเขียนมาแผ่นหนึ่ง   และจงเขียนอักษรง่ายๆลงว่า   'มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส' ”(   แปลว่า  ของที่ถูกริบไปไว้   เหยื่อรีบเร่ง)  2และข้าพเจ้าได้พยานที่เชื่อถือได้  คือ   อุรีอาห์ปุโรหิตและเศคาริยาห์บุตรของเยเบเรคียาห์ ให้เป็นพยานเพื่อข้าพเจ้า 3และข้าพเจ้าได้เข้าไปหาหญิงผู้เผยพระวจนะ(  คือ   ภรรยาของท่านผู้เผยพระวจนะเอง) และเธอก็ตั้งครรภ์และ คลอดบุตรชายคนหนึ่ง   และพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า   “จงเรียกชื่อบุตรนั้นว่า  มาเฮอร์ชาลาลหัชบัส 4เพราะก่อนที่เด็กจะร้องเรียก   “พ่อ  แม่”   ได้ทรัพย์สมบัติของดามัสกัสและของที่ริบได้จาก สะมาเรียจะถูกขนเอาไปต่อพระพักตร์พระราชาอัสซีเรีย”  
 5แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า 6“เพราะว่าชนชาตินี้ได้ปฏิเสธน้ำแห่งชิโลอาห์ซึ่งไหลเอื่อยๆ   และปีติยินดีต่อเรซีนและโอรสของเรมาลิยาห์ 7เพราะฉะนั้น  ดูเถิด   องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำน้ำแห่งแม่น้ำ ยูเฟรติสมาสู้เขาทั้งหลาย   ที่มีกำลังและมากหลายคือพระราชา แห่งอัสซีเรียและพระสิริของพระองค์   และน้ำนั้นจะไหลล้นห้วยทั้งสิ้นของมัน   และท่วมฝั่งทั้งสิ้นของมัน 8และจะกวาดต่อไปเข้าในยูดาห์   และจะไหลท่วมและผ่านไปแม้จนถึงคอ   และปีกอันแผ่กว้างของมันจะเต็มแผ่นดินของท่านนะ   ท่านอิมมานูเอล”  
 9ชนชาติทั้งหลายเอ๋ย   จงรู้และจงคร้ามกลัว  
 บรรดาประเทศไกลๆทั้งหมดเจ้าเอ๋ย  
จงเงี่ยหู  
  จงคาดเอวเจ้าไว้และจงคร้ามกลัว  
 จงคาดเอวเจ้าไว้และจงคร้ามกลัว  
 10จงปรึกษากันเถิด  แต่ก็จะไร้ผล  
 จงพูดกันเถิด  แต่ก็จะไม่สำเร็จผล  
  เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเรา 11เพราะว่าพระเจ้าตรัสดังต่อไปนี้กับข้าพเจ้า   พร้อมด้วยพระหัตถ์อันเข้มแข็ง   และทรงตักเตือนข้าพเจ้ามิให้ดำเนินในทางของชนชาตินี้   พระองค์ตรัสว่า 12“สิ่งที่ชนชาตินี้เรียกว่า   การร่วมคิดกบฏ  เจ้าอย่าเรียกว่าการร่วมคิดกบฏเสียหมด   อย่ากลัวสิ่งที่เขากลัวหรืออย่าครั่นคร้าม 13แต่พระเจ้าจอมโยธานั้นแหละ   เจ้าต้องว่าพระองค์ศักดิ์สิทธิ์   จงให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เจ้ายำเกรง   จงให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่เจ้าครั่นคร้าม 14แล้วพระองค์จะเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์   แต่เป็นหินกระทบเท้า   และเป็นศิลาอันเป็นที่สะดุดของเชื้อสายทั้งคู่ของอิสราเอล   เป็นกับและเป็นบ่วงดักชาวเยรูซาเล็ม 15และคนเป็นอันมากจะสะดุดหินนั้น   เขาทั้งหลายจะล้มลงและแตกหัก   เขาจะติดบ่วงและถูกจับไป”  
 16จงมัดถ้อยคำพยานเก็บไว้เสีย   และจงตีตราพระโอวาทไว้ในหมู่พวกสาวกของข้าพเจ้าเสีย 17ข้าพเจ้าจะรอคอยพระเจ้า   ผู้ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเชื้อสายของยาโคบ   และข้าพเจ้าจะหวังใจอยู่ที่พระองค์ 18ดูเถิด   ข้าพเจ้าและบุตรผู้ซึ่งพระเจ้าทรงประทาน แก่ข้าพเจ้าเป็น หมายสำคัญและเป็นลางในอิสราเอลจากพระเจ้าจอมโยธา   ผู้ทรงประทับบนภูเขาศิโยน 19และเมื่อเขาทั้งหลายกล่าวแก่พวกท่านว่า   “จงปรึกษากับคนทรงและพ่อมดแม่มดผู้ร้องเสียง จ้อกแจ้กและเสียงพึมพำ”   ไม่ควรที่ประชาชนจะปรึกษากับพระเจ้าของเขาหรือ   ควรเขาจะไปปรึกษาคนตายเพื่อคนเป็นหรือ 20ไปค้นพระโอวาทและถ้อยคำพยาน   ดูเถิด   แน่นอนทีเดียวคนที่ไปพูดเช่นนี้ ก็เป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเสียเลย 21เขาทั้งหลายจะผ่านแผ่นดินไปด้วย ความระทมใจอันยิ่งใหญ่และด้วยความหิว   และเมื่อเขาหิวเขาจะเกรี้ยวกราด และแช่งด่าพระราชาของเขาและพระเจ้าของเขา   และแม้เขาจะแหงนหน้าขึ้นข้างบน 22หรือจะมองดูที่แผ่นดินโลก   แต่ดูเถิด  ความทุกข์ใจและความมืด   ความกลุ้มแห่งความแสนระทม   และเขาจะถูกผลักไสเข้าไปในความมืดทึบ
บทที่ 9

1เมืองนั้นซึ่งอยู่ในความแสนระทมจะไม่กลัดกลุ้ม   ในกาลก่อนพระองค์ทรงนำแคว้นเศบูลุนและแคว้น นัฟทาลีมาสู่ความดูหมิ่น   แต่ในกาลภายหลังพระองค์จะทรงกระทำให้หนทางข้างทะเล   แคว้นฟากตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน  คือ   กาลิลี(หรือ   แขวง) แห่งบรรดาประชาชาติให้รุ่งโรจน์  
 2ชนชาติที่ดำเนินในความมืด  
 จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่  
  บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในแผ่นดิน   แห่งเงามัจจุราช  
 สว่างจะได้ส่องมาบนเขา  
 3พระองค์จะได้ทรงทวีชนในประชาชาตินั้นขึ้น  
 พระองค์จะทรงเพิ่มความชื่นบานของเขา  
  เขาทั้งหลายจะเปรมปรีดิ์ต่อพระพักตร์พระองค์  
 ดั่งด้วยความชื่นบานเมื่อฤดูเกี่ยวเก็บ  
 ดั่งคนเปรมปรีดิ์เมื่อเขาแบ่งของริบมานั้นแก่กัน  
 4เพราะว่าแอกอันเป็นภาระของเขาก็ดี  
 ไม้พลองที่ตีบ่าเขาก็ดี  
 ไม้ตะบองของผู้บีบบังคับเขาก็ดี  
 พระองค์จะทรงหักเสียอย่างในวันของคนมีเดียน  
 5เพราะรองเท้าทุกคู่ที่กระทืบไป   อย่างสั่นสะเทือน  
 และเสื้อคลุมทุกตัวที่เกลือกอยู่ในโลหิต  
 จะถูกเผาเป็นเชื้อเพลิงใส่ไฟ  
 6ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา  
 มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา  
  และการปกครองจะอยู่ที่บ่าของท่าน  
 และท่านจะเรียกนามของท่านว่า  
  “ที่ปรึกษามหัศจรรย์  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  
 พระบิดานิรันดร์  องค์สันติราช”  
 7เพื่อการปกครองของท่านจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น  
 และสันติภาพจะไม่มีที่สิ้นสุด  
  เหนือพระที่นั่งของดาวิด   และเหนือราชอาณาจักรของพระองค์  
 ที่จะสถาปนาไว้  และเชิดชูไว้  
  ด้วยความยุติธรรมและด้วยความชอบธรรม  
 ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนนิรันดร์กาล  
  ความกระตือรือร้นของพระเจ้าจอมโยธาจะกระทำการนี้  
 8องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้พระวจนะไปต่อสู้ยาโคบ  
 และจะตกอยู่เหนืออิสราเอล  
 9และประชาชนทั้งสิ้นจะรู้เรื่อง  
 คือเอฟราอิมและชาวสะมาเรีย  
 ผู้กล่าวด้วยความเย่อหยิ่งและด้วยจิตใจจองหอง  
 10ว่า  “ก้อนอิฐพังลงแล้ว  
 แต่เราจะสร้างด้วยศิลาสลัก  
  ต้นมะเดื่อถูกโค่นลง  
 แต่เราจะใส่ต้นสีดาร์เข้าแทนไว้ในที่นั้น”  
 11พระเจ้าจึงทรงหนุนปฏิปักษ์ของเรซีน
มาสู้เขา  
 และทรงกระตุ้นศัตรูของเขา  
 12คือคนซีเรียทางตะวันออกและคนฟีลิสเตียทางตะวันตก  
 และเขาจะอ้าปากออกกลืนอิสราเอลเสีย  
  ถึงกระนั้นก็ดี   พระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ  
 และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่  
 13ประชาชนมิได้หันมาหาพระองค์ผู้ทรงตีเขา  
 มิได้แสวงหาพระเจ้าจอมโยธา  
 14พระเจ้าจึงทรงตัดหัวตัดหางออกเสียจากอิสราเอล  
 ทั้งใบตาลและต้นอ้อเล็กในวันเดียว  
 15ผู้ใหญ่และคนมีเกียรติคือหัว  
 และผู้เผยพระวจนะผู้สอนเท็จเป็นหาง  
 16เพราะบรรดาผู้ที่นำชนชาตินี้ได้นำเขาให้หลง  
 และบรรดาผู้ที่เขานำก็ถูกกลืนไป  
 17ฉะนั้น  พระผู้เป็นเจ้าหาทรงเปรมปรีดิ์   ในคนหนุ่มของเขาไม่  
  และมิได้ทรงมีพระกรุณาต่อคนกำพร้าพ่อ หรือหญิงม่ายของเขา  
  เพราะว่าทุกคนก็ไร้พระเจ้าและเป็นคนทำความชั่ว  
 และปากทุกปากก็กล่าวคำโฉดเขลา  
  ถึงกระนั้นก็ดี  พระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ  
 และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่  
 18เพราะความอธรรมก็ไหม้เหมือนไฟไหม้  
 มันผลาญทั้งหนามย่อยและหนามใหญ่  
  มันจุดไฟเข้าที่ป่าทึบ  
 และป่าทึบก็ม้วนขึ้นข้างบนเหมือนควันเป็นลูกๆ  
 19แผ่นดินนั้นถูกเผา  
 โดยเหตุพระพิโรธของพระเจ้าจอมโยธา  
  ประชาชนก็เหมือนเชื้อเพลิง  
 ไม่มีคนใดไว้ชีวิตพี่น้องของตน  
 20เขาฉวยได้ทางขวา  แต่ยังหิวอยู่  
 เขากินทางซ้ายแต่ก็ยังไม่อิ่ม  
  ต่างก็กินเนื้อพี่น้องของตนเอง  
 21มนัสเสห์กินเอฟราอิม   เอฟราอิมกินมนัสเสห์  
 และทั้งคู่ก็สู้กับยูดาห์  
  ถึงกระนั้นก็ดี   พระพิโรธของพระองค์ก็ยังมิได้หันกลับ  
 และพระหัตถ์ของพระองค์ยังเหยียดออกอยู่


2โครินธ์ 12.1-10

1ข้าพเจ้าจำจะต้องอวด   ถึงแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร   แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไป   ถึงนิมิตและการสำแดงซึ่งมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 2ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว   เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม   (แต่จะไปทั้งกายหรือไปโดยไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้   พระเจ้าทรงทราบ) 3ข้าพเจ้าทราบ   (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกายข้าพเจ้าไม่รู้   พระเจ้าทรงทราบ)   ว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม 4และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้   และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม 5สำหรับชายคนนั้นข้าพเจ้าอวดได้   แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง   ข้าพเจ้าจะไม่อวดเลย   นอกจากจะอวดถึงเรื่องการอ่อนแอของข้าพเจ้า 6เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะอวดข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนเขลา   เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง   แต่ข้าพเจ้าระงับไว้   ก็เพราะเกรงว่า   บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาได้รู้จากการเห็นและฟังข้าพเจ้า 7และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป   เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น   ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า   หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป 8เรื่องหนามใหญ่นั้น   ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง   เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า   “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว   เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน   เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น”   เหตุฉะนั้น   ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์   ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า   ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก   ในการถูกข่มเหง   ในความอับจน   เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด   ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น

สดุดี 55

1ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเงี่ยพระกรรณ   ฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์  
 ขออย่าซ่อนพระองค์เสียจากคำวิงวอนของข้าพระองค์  
 2ขอทรงสดับ  และขอทรงตอบข้าพระองค์  
 ข้าพระองค์ยอมแพ้ความทุกข์ยากลำบากแล้ว  
 3ข้าพระองค์บ้าไปเพราะเสียงของศัตรู  
 เพราะการบีบบังคับของคนอธรรม  
 เหตุว่าเขานำความทุกข์ยากลำบากมาให้ข้าพระองค์  
 และเขาบ่มความเกลียดชังข้าพระองค์โดยความโกรธ  
 4จิตใจของข้าพระองค์ระทมอยู่ในข้าพระองค์  
 ความสยดสยองของมัจจุราชตกเหนือข้าพระองค์  
 5ความกลัวและความสะทกสะท้านมาเหนือข้าพระองค์  
 ความหวาดเสียวท่วมข้าพระองค์  
 6และข้าพระองค์ว่า  “โอ  ข้าอยากมีปีกอย่างนกพิราบ  
 จะได้บินหนีไปและอยู่สงบ  
 7เออ  ข้าจะได้พเนจรไปไกล  
 ข้าจะได้พักอยู่ในถิ่นทุรกันดาร  
 8ข้าจะได้รีบไปหาที่กำบัง  
 จากลมดุเดือดและพายุ”  
 9ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า  ขอทรงทำลายเสีย   และให้ภาษาของเขายุ่งเหยิงไป  
 เพราะข้าพระองค์เห็นความทารุณ และการโกลาหลที่ในนคร  
 10เขาเดินบนกำแพงรอบนครอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน  
 และความบาปผิดกับความทุกข์ยากลำบากอยู่ภายในนคร  
 11การทำลายมีอยู่ท่ามกลางเธอ  
 การบีบบังคับและการฉ้อโกง  
 ไม่พรากไปจากตลาดของเธอ  
 12มิใช่ศัตรูผู้เยาะเย้ยข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าจะได้ทนได้  
 มิใช่ผู้ที่เกลียดชังข้าพเจ้าผู้พองตัวใส่ข้าพเจ้า  
 ข้าพเจ้าจะได้หลบเขาได้  
 13แต่เป็นท่าน  เสมอบ่าเสมอไหล่กับข้าพเจ้า  
 เป็นเกลอของข้าพเจ้า  เป็นมิตรรู้จักมักคุ้นกับข้าพเจ้า  
 14เราเคยสนทนาปราศรัยกันอย่างชื่นใจ  
 เราดำเนินในพระนิเวศของพระเจ้าฉันมิตรสนิท  
 15ขอมัจจุราชมาหาเขาเหล่านั้น  
 ให้เขาลงไปยังแดนผู้ตายทั้งเป็น  
 เพราะความโหดร้ายอยู่ในบ้านของเขาและอยู่ในใจของเขา  
 16ฝ่ายข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า  
 และพระเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด  
 17ทั้งเวลาเช้า  เวลาเย็น  และเวลาเที่ยง  
 ข้าพเจ้าร้องทุกข์และคร่ำครวญ  
 และพระองค์จะทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า  
 18พระองค์จะทรงช่วยกู้จิตวิญญาณของข้าพเจ้า  
 ให้ปลอดภัยจากสงครามที่ข้าพเจ้าต่อสู้อยู่  
 เพราะคนเป็นอันมากตั้งแถวสู้ข้าพเจ้า  
 19พระเจ้าจะทรงสดับฟังและลดเขาลง  
 คือพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์ตั้งแต่โบราณกาล  
 เพราะเขาไม่เปลี่ยน และไม่ยำเกรงพระเจ้า  
 20เกลอของข้าพเจ้ายื่นมือของเขาออกต่อสู้เพื่อนของเขา  
 เขาฝ่าฝืนพันธสัญญาของเขา  
 21คำพูดของเขาเรียบลื่นยิ่งกว่าเนย  
 แต่สงครามอยู่ภายในใจของเขา  
 ถ้อยคำของเขาอ่อนนุ่มยิ่งกว่าน้ำมัน  
 แต่ทว่าเป็นดาบที่ชักออกมาแล้ว  
 22จงมอบภาระของท่านไว้กับพระเจ้า  
  และพระองค์จะทรงค้ำจุนท่าน  
  พระองค์จะไม่ทรงยอมให้  
  คนชอบธรรมคลอนแคลนเลย  
 23ข้าแต่พระเจ้า  แต่พระองค์จะทรง
เหวี่ยงเขาลงสู่ปากแดนพินาศ  
  คนที่ทำให้โลหิตตกและคนทรยศ  
  จะมีชีวิตอยู่ไม่ถึงครึ่งจำนวนเวลาของเขา  
แต่ข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์

สุภาษิต 23.4-5

 4อย่าทำงานเพื่อเห็นแก่ทรัพย์ศฤงคาร  
  จงฉลาดพอที่จะยับยั้งไว้  
 5เจ้าจะเพ่งตาของเจ้าอยู่ที่ของอนิจจังหรือ  
  เพราะทรัพย์สมบัติมีปีกแน่นอนทีเดียว  
  มันจะบินไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี  

No comments:

Post a Comment